Sunday, September 23, 2012

โยนขนมให้สุนัข

เรารู้สึกอย่างไร ตอนที่เราโยนอาหารให้สุนัข จะเป็นตัวที่เราเป็นเจ้าของหรือไม่ก็แล้วแต่ คำว่า "รู้สึก" อย่างไร เป็นสิ่งที่ปรากฏขึ้นที่ในใจของเรานะ
ใจของเราเป็นยังไง สบายๆไหม ? กายของเราล่ะ ผ่อนคลายไหม หรือว่าเกร็ง ? ลมหายใจของเรา เร็วขึ้นหรือช้าลงกว่ายามปกติ ?
ตอนที่ โยนขนมให้สุนัข เรามีความคาดหวังไหม เราคิดจะทวงบุญคุณไหม เรารู้สึกเสียดายไหม ?
จิตที่คิดจะให้นี้ มันเบาไหม ? กายเราเบาไหม ลมหายใจเข้าออกของเราสบายๆไหม ?

คำถาม : เจ้านายเป็นข้าราชการชั้นสูง ชอบขอเบิก ใช้สิทธิเต็มที่ พยายามทุกทางที่จะเอาสิทธินั้นๆ เช่น ต้อง ได้ตั๋วเดินทางชั้นหนึ่ง นอนโรงแรมห้องเดี่ยว เดอลุกซ์ เบิกทุกอย่างที่เบิกได้ ให้คนขับรถราชการไปรับส่งลูกเมีย ฯลฯ ทำให้ดิฉัน รับไม่ได้ จี๊ดๆ จิตเกิดอาการ จึงขอเรียนถามว่า จะทำยังไงดี
ตอบ : ตอบแบบโลกๆ คือ คิดบวก เช่น
เหมือนโยนขนมให้สุนัข เราก็ทำหน้าที่ของเราไป ทำตามหน้าที่ ตอนเราโยนเราหวงไหม เราเสียดายไหม ผมเชื่อว่าน้อยคนจะเสียดายนะ
คนพวกนี้ จำนวนชาติที่มาเป็นคนค่อนข้างต่ำ คือ นานๆได้เกิดเป็นคนสักที ยังติดสันดานแบบสัตว์บาดเจ็บ หรือ แบบเปรตหิวโหย
พอมารับราชการ ก็คิดว่าเงินเดือนน้อย จึงต้องขอเอาคืน และคิดว่านี่คือ สิ่งที่ฉันต้องได้ ไม่ยอมเสียเปรียบ ยิ่งได้ยิ่งเคยตัว
นึกถึง สุนัขไว้ เราก็ทำทานไป อย่าไปอิน อย่าไปออกอาการ อย่าจิตตก อย่าคิดมาก สุนัขก็เป็นเช่นนั่นเอง เขาเป็นเช่นนี้เอง คงยังไม่ถึงเวลาของเขา บุญยังมาไม่ถึงเนอะ
ตอบแบบทางธรรม คือว่า ขอให้เราย้อนมาดูกาย ดูใจของเรา
ผมจะไม่ยอมขาดทุน ให้จิตตก แน่นอน มันไม่คุ้ม
จงตั้งสติ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย
คนแบบนี้ ก็เป็นแบบนี้เองแหละ เขาทำหน้าที่ของเขา คือ ทำชั่วให้เราดู เขาเป็นอาจารย์ เราเป็นผู้ดู ดูกาย ดูใจของเรา สะสมแต้ม สะสมคะแนนสติ และ ต้องขอบคุณพวกเขาที่ทำชั่วให้เราได้ข้อคิด ได้แบบฝึกหัดสะสมสติ
ถาม : ถ้าไม่ทำอะไร ไม่สั่งสอน แล้วปล่อยคนแบบนี้ลอยนวล ประเทศจะเป็นอย่างไร เจอคนชั่ว เราต้อง "ลุย" นี่แหละหน้าที่ หน้าที่พลเมือง ไม่ใช่หดหัวในกระดอง อ้างธรรมะแบบนี้
ตอบ : ผมก็เคยคิดแบบลุยๆ มาก่อน คิดจะเป็นมือปราบ และ ถ้าคุณคิดว่าดี ก็ดีนะ คุณก็ทำซิ ลุยเลย
แต่ ตอนนี้ ผมต้องถามตนเองก่อนว่า (1) ใช่หน้าที่ของเราไหม ? เราเกิดมาเพื่อปราบ เพื่อสั่งสอนเขาหรือเปล่า ? และ เมื่อลุยได้ผลอะไรกลับมา คุณคิดว่าลุยเข้าไปแล้วมีโอกาสสำเร็จมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าคุ้มเวลาไหม เป็นแผนที่ดีแล้วหรือ แน่ใจนะว่าลุยแบบนี้ดีที่สุดแล้ว (2) เราจัดการตัวเราได้หรือยัง ? ดีกว่าเขาแล้วหรือ ? เกิดมาในชาตินี้เพื่ออะไร เพื่อหลุดพ้น สร้างปัญญา หรือ เพื่อ จะผูกกรรม สร้างชาติกับคนๆนี้ต่อไปอีกหรือ คุ้มไหมล่ะ จิตเกิดกับใคร ก็ต้องตามไปเจอกันอีกนะ เจอคนแบบนี้ อีกหลายชาติเลยนะ ลงไปเป็นสัตว์กับเขาด้วยนะ (3) เรามีกี่ ยุทธวิธีในการเปลี่ยนแปลงผู้คน ถ้ามีแค่วิธีเดียว คือ ด่า สั่งสอน ผมว่า เรานี่แหละ พวกหัวสี่เหลี่ยม คนจีนเรียกว่า ซี้ปังเท้า เพราะ ยุทธ์ศาสตร์ในการจัดการ มีมากกว่า 36 แบบ เราเคยเรียนหรือยัง ? เคยคิดไหมว่า เขาพร้อมที่จะรับฟังเราหรือยัง เขามีปมในใจอะไร เราเคยสืบค้นหรือยัง เคยศึกษาจุดอ่อนจุดแข็ง ของเราของเขาหรือยัง อย่าบุ่มบ่าม อย่าซดของร้อน ใจเย็น ๆ หัดรอเวลา รอจังหวะ ตั้งสติ ก่อนนะ อย่าเป็นขุนพลเอาแต่ใจตนเอง อย่างเตียวหุยในเรื่องสามก๊กนะ (4) เคยอ่านเจอว่า พระพุทธองค์ทรง ่่ลุย ่่ เข้าไปปราบผู้คน ตรงๆทื่อๆ แบบลุยๆที่คุณว่าไหมล่ะ ? พระพุทธองค์ ทรงมีพระมหาเมตตานำหน้า ทรงใช้กุศโลบาย ทรงเลือกพุทธวิธีในการจัดการในแบบต่างๆกันนะ และ เราลองถามตัวเราเองว่า ก่อนจะลุย ก่อนจะด่า หรือ สั่งสอนใคร เรามีสติ มีเมตตาหรือยัง ? (5) เราเป็นคนติดดีหรือเปล่า ? คนติดดีแก้ไขยากนะ คือ แก้ไขตนเองยาก เพราะมัวแต่ส่งจิตออกนอก มัวแต่ตำหนิ มัวแต่จับผิดผู้อื่น คนแบบนี้ "หลงความคิด" ชอบด่วนตัดสิน ด่วนฟันธง มักใช้แต่คำว่า "ในนามแห่งความดี ฉันขอพิพากษาเธอ" โดยไม่ไตรตรอง ไม่ให้โอกาส ไม่สอบสวน ไม่มองขีดจำกัดของผู้คน ไม่เมตตา เต็มไปด้วยโทสะ เต็มไปด้วยอคติและลำเอียง (6) สุนัขก็ได้ขนมจากเราๆไปแล้ว ถ้าเราคิดจะเอากลับคืนมา มันมีโอกาสสำเร็จไหม มันคุ้มไหม เอาคืนจากปากสุนัขเนี่ยนะ จิตที่คิดจะเอาคืนเป็นอย่างไร ? มันหนักไหม ? ตอนจะตีสั่งสอนสุนัข จิตของเราเป็นยังไง ? มันหนักไหม ? มันคุ้มไหม ? จิตตก จิตอกุศลเพียงเพื่อจะเอาคืนเนี่ยนะ ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกหลายชาตินะ มันคุ้มไหม ? เป้าหมายของเราคืออะไร เราเกิดมาทำอะไร คิดให้ดีๆนะ ฝึกสติให้มากๆนะ ไหนๆก็ได้เกิดเป็นคนแล้วเนอะ สุนัขเขาก็เป็นเช่นนี้เอง

Saturday, September 22, 2012

เวลาไปช่วย รร บ้านนอก จงส่งเสริมในส่ิงท่ีเขามีดี

วันก่อน ผมอ่านเจอ โพสต์ เชิญชวน ให้ไปช่วย พัฒนา โรงเรียนในบ้านนอก ขอ คอมฯ ขอเคร่ืองเขียน หนังสือเรียน ฯลฯ
แต่ผมมองต่างมุม ไม่ได้ค้านนะ แต่เสริมให้เนอะ
1) ผมว่า เราควรใช้หลักการ ่่ อย่าสอนคนให้จับปลา จงสอนคนให้เลี้ยงปลาเป็นด้วย ่่ _ หรือ อย่าให้เป็นเงิน เป็นของ แต่ สอนให้คิดเป็น ทำเป็น รักของดีในถ่ินของเขา จะดีกว่า
2) บางหน่วยงาน บางชมรมในมหา ่ ลัย เข้าไปสอน กิจกรรมกลุ่ม ล้อมวง โสเหล่ ระดมสมอง (Dialogue) แนะนำ ความสำคัญ ของสมุนไพร จุดเด่นในท้องถ่ิน ประวัติศาสตร์ท้องถ่ิน พืชหายาก เพาะน้ำหมักชีวภาพ ฉายคลิปดีๆ คำสอน คำคม ฯลฯ ซ่ึงดีมากเลย
3) หนังสือบริจาค ต้องกรองหน่อยนะ เนื้อ ภาพเปลือย กิเลสคนเมือง กวดวิชา ฯลฯ ท่ีไปย่ัวกิเลสเขาเปล่าๆ
4) เข้าไปช่วยแล้ว ก็เข้าไปซ้ำ ช่วยจนเขาคิดเป็น รู้จักความพอเพียง ช่ืนชมเขา ฯลฯ
5) ถนนถึง ไฟฟ้าถึง อาจจะนำหายนะมาให้เขาก็ได้นะ อย่ายัดเยียดวิธีคิดอย่างคนกรุง กลายเป็น ่่ ตาบอด สอนตาดี ่่ หลายเร่ือง พวกเขารู้ดีกว่าเรา เราควรแลกเปล่ียน
6) การศึกษาของคนเมือง ยุคนี้ มันทำลาย ไม่ย่ังยืน แข่งขัน ไกลธรรมชาติ โกง เอาเปรียบ ฯลฯ ย่ิงไปสอนมาก คนของเขาก็ท่ิ้งท้องถ่ินมาก ___ น่าจะสอน ( ใช้คำว่าแลกเปล่ียน กับพวกเขา ฟังดูนอบน้อมกว่าใช่้คำว่า ่่ สอน ่่ เนอะ) กระบวนการเร่ียนรู้ เทคนิคการอยู่ในธรรมชาติ เล่ห์เหล่ียมพ่อค้า กลโกงการเมือง ยาเสพติด ส่ิงแวดล้อม ภัยธรรมชาติ โรคติดต่อ ฯลฯ
!!!! เป็นแค่อีกมุมมอง ของผมนะ !!!!

Thursday, September 20, 2012

สอนแบบไม่ให้รู้ตัวว่าสอน:(1)มารยาทเดินเบาๆแบบไทย

วันนี้ สอนเร่ือง สติ ่่กายรู้กาย ่่ หรือ กายในกาย คือ ไม่เอาความคิดเข้าไปรู้ ไม่แย่งกายในการรู้กาย
ผมกำลังนึกตัวอย่างอยู่พอดี ก็เห็น คุณนก เธอเดินมาพอดี _ เสียงลงเท้าดังชัดเจน
ผมก็บอกเธอว่า ่" ย่อง _ ย่อง คุณนก ลองเดินแบบย่องๆ ดูนะ ฝึกกายรู้กาย นะ ่่
เธอ ก็ลองเดิน แต่ ก็ยังมีเสียงอยู่บ้าง ผมก็บอกให้เธอ ลองเดินใหม่ นึกว่าเดินบนบ้านไม่้ ไม้กระดาน เสียงจะดัง เอี้ยด อ๊าด จึงต้องเดินเบาๆ
เดินเบาๆ ใจเบาๆ โล่งๆ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย รู้กายด้วยกาย _______
เมื่อเดินเบาๆได้แล้ว ผมก็ถามเธอว่า ่่เรียนรู้อะไร ? ่่__ เป็นการถามตามหลัก Dialogue ขั้นพื้นฐาน__
เธอบอกว่า เข้าใจเร่ือง กายรู้กาย มากขึ้น ความคิดลดน้อยลง เห็นความคิดจร (ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจ อยู่นอกแผน ) ชัดขึ้น
ผมเสริมเธอว่า ่่ ดีมาก และ คุณนกเช่ือไหมว่า ผมคิดว่า คนโบราณ มีพระอริยเจ้าเยอะ ท่านคงออกอุบาย เดินเบาๆ ทำให้ สติท่ีเท้าย่างก้าวชัดขึ้น ส่วนพวกเดินกระโดกกระเดก ยากท่ีจะเห็นสติท่ีฐานกายรู้กายนี้ มาสมัยนี้มี แต่พวกคิดๆๆๆๆ จนลืมใช้กายรู้กาย และ ท่ีแย่ คือ สมัยนี้ ไม่มีผู้ใหญ่กล้าเตือน คือ ไม่มีค่านิยมเดินเบา คือ คนสุภาพ ่่
เธอเสริมว่า " พวกฝร่ัง เดินเร็วไว ความคิดก็ไว เพราะพวกเขาไม่รู้จักการฝึก "สติ ่่ และ ถ้าใส่ผ้าถุง ผ้าซ่ิน ต้องระมัดระวัง ดังนั้น หญิงไทยผู้ดี โบราณ เดินต้องมีสติ ่่
เราเห็นตรงกันว่า ่่ น่ีแหละ การเดินเบาๆ ช้าๆ เป็น หนึ่งในอุบาย หรือ อาจจะไม่ใช่อุบาย แต่ บังเอิญ ใช้ฝึกสติได้ ก็ได้เนอะ ่่
--- จะลุก จะน่ัง จะเดิน ก็ให้ กายได้รู้กาย ใจโล่งสบาย คิดดี ทำดี ฯลฯ
--- มีโอกาสก็ฝึกนะ หาโอกาสว่างๆ เช่น รอคิว รอรถ อยู่บ้าน อยู่วัด อยู่ในสวน เดินไปห้องน้ำ
---





Saturday, September 15, 2012

เพลง Wish You Were Here by Pink Floyd

So, so you think you can tell Heaven from Hell, คุณ คุณ คุณคิดว่าคุณสามารถ แยกแยะสวรรค์กับนรกได้จริงหรือ ? ( ทำลายธรรมชาติสวยงาม ไปเป็นวัตถุ เกือบหมดแล้ว เห็นกงจักร เป็นดอกบัวไปแล้ว )
blue skies from pain.รู้จัก แยกแยะความแตกต่างระหว่าง ฟ้าสีคราม กับ ความเจ็บปวด ได้หรือ ?
Can you tell a green field from a cold steel rail? คุณบอกความแตกต่าง ทุ่งหญ้าเขียวขจี กับ รางเหล็กเย็นเฉียบ ได้หรือเปล่า ?
A smile from a veil? รอยยิ้ม กับ ความเสแสร้งแกล้งปิด ?
Do you think you can tell? คุณคิดว่าคุณบอกความต่างได้ไหม ? ( คงบอกยาก ทำตนเองติดยึดกับรูปธรรม จนมองไม่เห็นด้านนามธรรมไปแล้ว หลงไหล ไปตามกระแสกิเลส) ?
And did they get you to trade your heroes for ghosts? พวกเขาได้เอาวีรบุรุษของคุณไปแลกเป็นปิศาจ ? เห็นคนเลว คนโกงเป็นเทพไปแล้ว

Hot ashes for trees? เอา เถ้าถ่านร้อน มาแทนต้นไม้ ( สร้างมลภาวะ ทำลายป่า ฯลฯ )
Hot air for a cool breeze? อากาศร้อน มาแทน สายลมเย็นสบาย ( รู้ลึกโง่กว้าง รู้แต่สร้างๆแบบไม่ย่ังยืน และไม่พอเพียง เรียนแต่ ่เรื่องท่ีขาดเมตตา)
Cold comfort for change? เอาความเย่็นสบาย ไปเป็นตัวเปล่ียน ( เป็นความสนุกสนานไปวันๆ สุรา นารี ความบันเทิง การพนัน ฯลฯ )
And did you exchange a walk on part in the war for a lead role in a cage?
และคุณได้ทำการแลกเปล่ียน เพียงแค่อยากเป็นผู้นำในกรง ด้วยการพาผู้คนเข้าสู่สงคราม
How I wish, how I wish you were here.
ฉันอยากจะ คิดว่า ทำยังไง เธอ ( เหล่าผู้นำ ผู้บริหาร ) จึงมาท่ีน่ีได้
We're just two lost souls swimming in a fish bowl, year after year, พวกเรา ต่างก็เป็นแค่ วิญญาณหลงทางในอ่างปลา (ติดในวัฏฏสงสาร) ปีแล้วปีเล่า (ชาติแล้วชาติเล่า)
Running over the same old ground.
ยังคิดเหมือนเดิม ทำตัวเหมือนเดิม ( งกๆ เค็มเหมือนเดิม ตามใจกิเลสตนเองเหมือนเดิม ย่ิงแก่ ย่ิงด้อยโอกาสในการเรียนรู้ )
What have you found? คุณได้พบอะไรบ้าง ล่ะ ( หลงอยู่กับ ลาภ ยศ สรรเลริญ กาม ทั้งวัน ทั้งคืน จะไปค้นพบอะไรได้ล่ะ หาตนเองเจอหรือยัง ?The same old fears. ความกลัวเดิมๆ (กลัวตาย กลัวจน กลัวเสียหน้า กลัวไม่ได้สนุก กลัวลำบาก ฯลฯ)
Wish you were here. โอย อยากให้คุณมาท่ีน่ี จริงๆ
(มาเจอกัน มาเห็นความจริง เมตตากันบ้าง เข้าใจกัน )
............................................
ผมว่า เพลงนี้ เหมาะกับ งานปิด กีฬาโอลิมปิก ลอนดอน ฤดูร้อน 2012 .....
เป็นเพลงเดิมของ Pink Floyd เอามาร้องใหม่ (cover) ในพิธีปิดสนาม โดยดาวรุ่ง Ed Sheeran




source: http://www.lyricsondemand.com/p/pinkfloydlyrics/wishyouwereherelyrics.html

Thursday, September 13, 2012

ติดความคิด คือ ติดโลก .... by Dharma chilled ๆ

เหตุผลแบบทางโลก มากับความคิด เหตุผลทางธรรม ดูท่ีใจ แต่เริ่มฝึกสติท่ีกายก่อน
คนท่ีทะเลาะกัน ก็เพราะใช่่้เหตุผล ของตนเอง จากมุมมองตนเอง โดยไม่รู้ว่า จิตใจตอนนั้นๆเป็นยังไง
คนที่ใจสงบ มีสติ มีเมตตา จะใช้ ความดี น้ำใจ นำหน้าเหตุผล ใช้กุศโลบาย ฟังๆไปก่อน ไม่ด่วนฟันธง ไม่ด่วนพิพากษา น่ันผิด น่ีถูก แต่เขาจะ ถามต่อ สืบค้น ชวนคุย ลองทำ ตั้งหัวข้อวิจัยทดลอง ฯลฯ ไม่ใช่เอะอะ ก็อคติ ลำเอียง แบ่งพวก ตัดเกรด ยกตนข่มกัน ดูถูกดูแคลนกัน
เหตุผลต่างๆ ท่ีบรรจุในกระโหลกของเรา เรารู้ได้ไงว่ามันถูกต้อง และครบถ้วน เราคิดเองเออเองเสียมาก ความเช่ือต่างๆของเรามากมาย ที่เราโดนหลอกก็เยอะนะ นักโฆษณา ส่ือ งานวิจัย ลวงโลกมีเยอะมาก กิเลสเราเองก็เยอะ เลยหลงกันเข้าไปใหญ่
เหตุผลต่างๆ เราเคยมาแยกแยะคุณภาพ ดีช่ัว ม่ัวว่า เขาว่า ใครสักคนว่า หรือไม่ ตามพวกมากลากไปหรือเปล่า บัณฑิตติเตียนไหม เคยลองทำดูหรือยัง ใส่ไข่ลงไปหรือเปล่า มีผลประโยน์แอบแฝงไหม เขาหลอก และ ่่ ลับ ลวง พราง ่่ สมัยนี้เยอะนะ

Monday, September 10, 2012

ความสำเร็จ ในแง่ธรรมะ

๙ ประการแบบง่ายให้เข้าใจความสำเร็จแบบทางธรรม บ้างเนอะ(๑) เชื่อว่าทำได้ นิพพานเป็นเรื่องที่ทำได้ในชาตินี้ อย่าดูถูกตนเอง (๒) ความรู้ คือ การมีสติ ไม่ใช่รู้แบบจำๆ แต่เป็น กายรู้กาย ใจรู้ใจ (๓) อย่าข้ามขั้น หมั่น ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ชนะจิตบ้างนะ (๔) อินเทรน คือ ไหลตามกระแส เป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ กิเลสลากไป ตามสื่อกิเลสไป พังแน่นอน (๕) ห่างไกลคนพาล คบบัณฑิต มงคล ๓๘ (๖) ความสุขแบบโลกๆ ก็คือ ทุกข์ ทุกข์เพราะ แยกจิตกับความคิดไม่เป็น สติน้อยเกินไป (๗) ลอง "ไม่อยาก" ดูบ้างนะ ฝึกอยากมาเยอะแล้ว (๘) ความสุข คือ ใจโล่งๆ โปร่งสบาย (๙) ให้โอกาสตนเองบ้าง ทำทางโลกมาเยอะแล้ว ออกไปฝึกทางธรรมบ้างเด้อ

คำแนะนำ 12 ประการ ใช้ชีวิตในยุคนี้

“คำแนะนำ ๑๒ ประการ สำหรับชีวิตในโลกยุคปัจจุบัน”
ในโลกปัจจุบันนี้ จัดเป็นยุคที่ สับสน หลอกลวงกันได้ง่าย โดยเฉพาะเป็นยุคทางสื่ออิเลคทรอนิค เป็นยุค “ลับ_ลวง_พราง” สิ่งที่อ่านในสื่ออาจจะไม่ใช่ความจริง สิ่งที่เป็นข่าว อาจจะเป็นข้อมูลลวงและพราง เปลี่ยนประเด็นความสนใจของประชาชนออกไป กฏหมายชราภาพพอๆกับผู้รักษากฏหมายชราภาพ การศึกษาเป็นทาสของนักธุรกิจ เป็นการศึกษาเชิงพานิชย์ ฯลฯ มากกว่าสมัยก่อนๆ หรือ สมัยก่อนอาจจะมีมากก็ได้ แต่ ไม่ค่อยเป็นข่าว ไม่ค่อยโดนจับได้ ข่าวร้ายโดนลบทิ้งได้ทันเวลา ดังนั้น จึงเป็นการยากที่จะฟันฝ่ายุคนี้ไปได้อย่างสมดุล คือ สมดุลทั้งทางโลกและทางธรรม สมดุลทั้งการเงิน เศรษฐกิจ สังคม และ รักษ์โลก เพื่อที่ว่าสุดท้ายไม่โดนระบบธรรมชาติ จัดระเบียบ ด้วยสงคราม และ ภัยธรรมชาติต่างๆ __ คนสมัยนี้ คล้ายกับผีร้าย ซาตานเข้าสิง สามารถทำธุรกิจ แบบทำลาย ทำร้ายสุขภาพผู้คนได้แบบหน้าตาเฉย ตาใส ไร้ความรู้สึก ไม่ผิดกฎหมายทั้งๆที่ผิดคุณธรรม โดยผ่าน ระบบการตลาดที่โหดเหี้ยม กลไกการตลาดที่ "ลับ ลวง พราง" และ เพื่อ ยั่วยวน หลอกล่อ จับจุดอ่อน ส่งเสริมความฟุ่มเฟือย ฯลฯ โดยใครไม่รู้เท่าทัน ก็ "ติดกับดัก" หลุดเข้าระบบ "สายพานชีวิต" ........ ผมมีคำแนะนำ ง่ายๆ (ไม่ต้องมีเอกสารอ้างอิง เพราะ คิดเอง มั่วเอง) ๑๒ ประการ ดังนี้ __(๑) อย่าเชื่อโฆษณา : นักการตลาด นักโฆษณา มากมาย ใช้ เทคนิค ศิลปะการยั่วยวน ให้ คึกที่จะซื้อ นับวันจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เร่งให้เป็นนักซื้อ หัดสร้างหนี้ตั้งแต่เป็นเด็กๆกันเลยทีเดียว ศาสตร์ทางการตลาด โฆษณา สื่อสารมวลชน กลายเป็นศาสตร์ที่ "ติดลบ" "อกุศล"มากขึ้น เสื่อมลงมากขึ้น คนในวงการ ไม่ควบคุมกันเอง ไม่ตักเตือนกัน ดังนั้น เราในฐานะผู้บริโภค ก็ต้องเลิกเสพสื่อ เลิกเชื่อโฆษณา สอนลูก สอนหลาน สอนเยาวชน ให้เห็น กลลวงต่างๆ ให้มากขึ้น รู้ให้ทัน __(๒) ดู TV ให้น้อยลง และ หันไป ลงมือทำอะไรด้วยตนเองมากขึ้น ออกไปทำกิจกรรมนอกบ้าน ห่างไกลจอทีวี จอ Internet บ้าง สุขภาพของท่าน จะโดนทำลาย ทั้งสายตา กล้ามเน้ื่อสะบักไหล่ กระดูกจะปวดทั้งที่หลังและที่คอ โรคกระเพาะอาหาร นอนน้อย และ อื่นๆ สุดท้าย เงินเก็บที่หามาได้ จะหมดลง เพราะ เป็นค่าใช้จ่ายให้โรงพยาบาล นั่งรถเข็นหรือนอนพะงาบพะงาบ ช่วยตนเองไม่ได้บนเตียง และ ไม่มีลูกหลานมาดูแล เพราะ ท่านทอดทิ้งพวกเขา มาหมกมุ่นอยู่หน้าจอทั้งวัน ท่านลืมออกกำลังกาย ความรัก ความผูกพันในครอบครัวจะหายไปเรื่อยๆ ต่างคนต่างอยู่มากขึ้น __(๓) เดินห้างให้น้อยลง พาลูกพาหลานออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ้างนะ : เดินในห้าง ท่านก็ผสมลมหายใจของใครต่อใครก็ไม่รู้ปนเปไปกับท่าน สูดเชื้อ ดมกลิ่น สารเคมี ที่ฉีดลงบนสินค้าต่างๆ ดมทุกวัน บ่อยๆมากๆก็แย่เหมือนกันนะ ออกไปกลางแจ้ง ที่อากาศดีๆ เพราะ บนถนนยิ่งเลวร้ายกว่า โดยเฉพาะในประเทศที่ไม่เอาจริงเรื่องอะไรสักอย่าง นอกจาก การเมืองและผลประโยชน์ กีฬากลางแจ้ง แบบฝรั่ง มีแต่ค่ายใช้จ่ายราคาแพง เป็นกีฬาเชิงการค้าไปแล้ว เราก็ลองหากิจกรรมง่ายๆ ราคาถูก เช่น เดินป่า ปลูกต้นไม้ เข้าวัด ก็ได้นะ __(๔) อย่าไปอยู่ในฝูงชนมากนักเลย โดยเฉพาะคอนเสริท์ ต่างๆ : หูจะแตก เพราะ ลำโพงเปิดเสียงดังลั่น ทั้งในห้างสรรพสินค้า ตลาดนัด ลานเต้นแอร์โรบิก ถนนที่รถเต็มไปหมด รถเปิดเพลงดังลั่นและ ในชนบท ก็ยัง เปิดเพลงดังลั่นระวัง ยังมีระเบิดจากผู้ก่อการร้าย โรคติดต่อร้ายแรง ท่ีอาจจะมาพร้อม การเปิด AEC (ประชาคมอาเซียน) ก็ได้นะ อย่าทำอะไรตามๆกัน หันทวนกระแสแล้วจะปลอดภัย อย่าไปเห่อตามเขามากนัก โดยเฉพาะเร่ืองอาหาร มีแต่ภัย ซ่อนเร้นอยู่ __(๕) ซื้อให้น้อยๆหน่อย หัดทำเองบ้าง :ปลูกผักเอง แล้วจะรู้ว่า ผักธรรมชาติ กับ ผักอันตรายด้วยสารเคมี มันต่างกันเยอะเลย ทั้ง รส สี และกลิ่น หัดพึ่งพาตนเองบ้าง ลดการนำเข้า ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงในบ้าน และ ในองค์กรก็ได้ วิศวกร มีแต่ catalog engineer ซื้อๆๆ เทคโนโลยีต่างชาติ คิดอะไรเองไม่เป็น ออกแบบไม่เป็น เก่งแต่ “จัดซื้อ” ควรหัดฝึกวิศวกร เป็นนักประดิษฐ์บ้าง ผู้บริหารหัดทำอะไรเองบ้าง ลงจากหอคอยงาช้าง ลงมาเลียบค่ายดูทหารเลวบ้าง อย่าคิดเองเออเอง ลงมาดูที่จริง ของจริง ความจริงบ้าง อย่าหูเบา อย่าเชื่อคนข้างกายมากนักเลย __(๖) หยุดทาน อาหารโหลๆ (Junk food) แล้วหัด ทานอาหาร ตามธรรมชาติบ้าง : ระบบการศึกษายุคนี้ เป็นแบบ “รู้ลึกโง่กว้าง” สุดท้าย ตายน้ำตื้น โดนพ่อค้าแม่ค้าหลอกเอาสารเคมี ใส่ลงไปในอาหาร ทานเข้าไปทุกวัน แบบ “โง่ ตาใส” เรียนก็สูง การงานก็ดี แต่ สอบตก เรื่องพฤติกรรมการทานอาหาร เร่งรีบ โดนหลอก หลงตนเอง ขี้เกียจ มักง่าย สุดท้าย "ทานแบบด่วน ก็ตายแบบด่วน" กลับบ้าน ทานข้าวกับพ่อแม่ ลูกเมียบ้าง ทานอาหารนอกบ้าน น่ากลัวนะ จะบอกให้ __(๗) เอาแต่ทำงานแบบเดิมๆ แล้ว คาดหวังผลงานดีๆ :ขยันแบบโง่ ทำเหมือนเดิม ไม่ปรับปรุง ไม่พัฒนา ไม่กล้าลอง อ้างงานยุ่ง ซึ่งพวก ขยันแต่โง่นี้ ฮิตเล่อร์ (Hitler)บอกว่า “เจอเมื่อไร ให้ฆ่าทิ้ง” สุดท้ายองค์กรไปไม่รอด ตนเองล้มบนฟูก ลูกน้องเดือดร้อน ประเทศชาติเสียหาย แม่ธรณีโดนรังแก วนอยู่ในกรอบเดิมๆ ตั้ง KPI มาวัดผลงาน ด่าในเรื่องซ้ำๆ ด่าคนทำไม่ด่าคนส่ัง เข้าลักษณะที่ว่า “ใครขโมยเนยแข็งของฉันไป” หรือ “สาปแช่งความมืด ลืมจุดตะเกียง” __(๘) เอาแต่ขับรถ ลองหัดเดินดูบ้าง :เอาแต่ ยั่วให้คนซื้อรถ ปล่อยดอกเบี้ยให้ซื้อรถ สุดท้าย รถเต็มเมือง ถล่มน้ำมัน ต่างชาติฟันกำไร คนไทยเป็นง่อย เดินไม่เป็น ระบบรถสาธารณะน้อย กดดันให้ซื้อรถใหม่ ดูดควันพิษ ่... ยังไม่มีระบบ Sky walk ในเมืองไทย คือ สามารถเดินเชื่อมทะลุได้หมด ไม่ต้องใช้รถ __(๙) ของเก่ายังใช้ไม่คุ้ม ซื้อใหม่อีกแล้ว ลองอดทนใช้ของเก่าๆบ้าง :ทั้งโทรทัศน์ โทรศัพท์ หัดค่อยๆใช้ไป ไม่ต้องบ้าจี้ ขี้อวด ขี้โอ่ กลัวตกเทรนด์ อดทนหน่อย เปลี่ยนระบบคอมพิวเตอร์ อยู่เรื่อย ลงโปรแกรมใหม่ๆ ลูกอีช่างเปล่ียน จนคนในองค์กร มึน งง เบลอไปหมดแล้ว __(๑๐) หยุดวุ่นวายเรื่องชาวบ้าน หัดมาพิจารณาตนเองบ้าง : เอาแต่ จับกลุ่มนินทา เพ่งโทษ โดยไม่หันมาพัฒนาตนเอง ติดดี เห็นคนอื่นแย่กว่า พูดจาทับถม ดับกำลังใจกัน สุดท้าย องค์กรหมดสภาพ เลิกเห่อฝรั่ง เห่อต่างชาติ หันมาใช้ของไทยๆ ภูมิใจในความเป็นไทยบ้างนะ หัดขอบคุณกันบ้าง อย่าเป็นองค์กรแล้งน้ำใจ อย่าวางฟอร์ม อย่าระแวง อย่าต่างคนต่างอยู่ อย่ากัดกันเอง ___(๑๑) หัดทำอะไรช้าๆบ้าง เร่งมาแล้วทั้งชีวิต : ในความช้า มีอะไรให้ศึกษามากมาย จะเร่งไปตายถึงไหน เร่งขับรถ เร่งกิน เร่งโกง เ่ร่งกำไร ไปถึงไหน รอๆ ธรรมชาติฟื้นตัวบ้างนะ ถล่มแม่ธรณีทำไมกันเนี่ย ช้าให้เป็น ช้าอย่างมีสติ หัดนั่งสมาธิ เดินจงกรม ทำงานศิลปะบ้าง__(๑๒) หัดมีระบบสำรองบ้าง : ถ้าอยู่เมืองใหญ่ วันใด มีสงคราม มีภัยธรรมชาติใหญ่ๆ จะหลบไปไหน แก่แล้วจะทำอะไร อย่ามาติดเรื่องเกษียณ ตอนอายุ ๕๙ ปี มันสายไปแล้ว ควรคิดตั้งแต่ อายุ ๒๐ ปีแล้ว ว่าจะเกษียณยังไง อย่ามั่นใจว่า กฎแห่งกรรมไม่มีจริง หัดสำรองความเชื่อเอาไว้บ้าง หากเรื่องที่เราไม่เชื่อ โดยเฉพาะ เรื่อง ชาติหน้า เรื่องนรกสวรรค์มีจริงขึ้นมา เราจะทำไง หัดบริหารความเสี่ยงบ้างนะ เรียนทางสายวิทย์มาตลอด เชื่อเรื่องวิทยาศาสตร์มาตลอด แล้วรู้ได้ไงว่า วิทยาศาสตร์ถูกต้อง ในเมื่อ มนุษย์ที่โกงๆ มั่วๆ เป็นคนทำวิจัย ทำการทดลอง และ เป็นนายทุนนำเสนอ กระบวนวิธีทางวิทยาศาสตร์น่าจะถูกต้อง 100% แต่ นักวิทยาศาสตร์นี่ซิ ไม่น่าจะถูกต้อง ทุกคนนะ บางคนอาจจะรับเงินนักธุรกิจชั่วร้าย งกๆเค็มๆ โกงๆมาก็ได้นะ บิดเบือนผลการวิจัยเพื่อเข้าข้างตนเองก็มีนะ ****** อย่ารอแก่แล้วไปวัด ไปศึกษาทางธรรมนะ ******* เรื่องทาง พุทธศาสตร์ เป็นเรื่องที่ต้องฝึกๆๆๆ จนได้ทักษะ ไม่ใช่ แค่คิด ไม่ใช่แค่อ่าน ก็จะเข้าใจได้นะ ดังนั้น อย่าประมาท อาจจะตายก่อน เกษียณก็ได้ อาจจะพิการ จนศึกษาทางธรรมไม่ได้ก็ได้นะ รู้ได้ไงว่า ที่เชื่อมาทั้งชีวิต หนีธรรมะมาทั้งชีวิต เป็นเรื่องจริง หากไม่ศึกษาธรรม ไม่เข้าหาบัณฑิต ก็คือ คิดเอง เออเอง มันพลาดได้ง่ายๆนะ เรื่องทางธรรม ไม่ใช่ เรื่องการใช้ “ความคิด” นะ หลงใช้ “ความคิด” มาทั้งชีวิต แล้วจะเข้าใจธรรมได้ยังไง ธรรมะเป็นเรื่องของ “สติ” ที่ต้องผ่านการฝึกฝน สะสมเก็บชั่วโมงฝึก คนคิดมากฝึกธรรมไม่ได้นะ _ จริงๆแล้ว ยังมีอีกหลายประการ หลายข้อแนะนำ แต่ ๑๒ ประการนี้ ก็เยอะแล้ว _ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเรื่องที่ ฟังดูง่าย แต่ ทำจริงๆยาก เหมือนกับการศึกษาธรรมะ คือ ต้องลงมือทำจึงจะเข้าใจ เอาแต่อ่านแล้ววิจารณ์ไม่ได้เลย __ การพึ่งพาตนเอง ไม่ไหลตามกระแส ดูจะเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็น ไม่ต้องไปคิดแบบแคบๆว่า "ทำกินเองแล้วคนอื่นจะตกงาน พ่อค้าจะไม่มีงานทำ" การคิดแบบนี้ เป็นอะไรที่ วัยรุ่นเรียกว่า "เกรียน"มาก หรือ ภาษาจีนแต้จิ๋ว คือ ซี้ปังโต้ และ ซี้ปังเท้า มากๆ

Wednesday, September 5, 2012

ความหมายทางธรรมของเพลง เดสเพอราโด้

เพลงนี้ร้องกันหลายคน ตั้งแต่ Eagles / Johny Cash / Carpenters/ Westlife อ่านเนื้อหา ให้ดีๆ ... มาแนว "ค้นหา ความหมายของชีวิต" คลิกไปที่ http://uk.youtube.com/watch?v=9NjuR-Dm4FQ&NR=1 เป็นของ Westlife นักร้องวัยรุ่น 4 คน ชาว UK http://uk.youtube.com/watch?v=AQ_egZWkqI&feature=related เสียง Carpenter Desperado, why don't you come to your senses? You been out ridin' fences for so long now Oh, you're a hard one I know that you got your reasons These things that are pleasin' you Can hurt you somehow Don' you draw the queen of diamonds, boy She'll beat you if she's able You know the queen of hearts is always your best bet Now it seems to me, some fine things Have been laid upon your table But you only want the ones that you can't get Desperado, oh, you ain't gettin' no younger Your pain and your hunger, they're drivin' you home And freedom, oh freedom well, that's just some people talkin' Your prison is walking through this world all alone Don't your feet get cold in the winter time? The sky won't snow and the sun won't shine It's hard to tell the night time from the day You're loosin' all your highs and lows Ain't it funny how the feeling goes away? Desperado, why don't you come to your senses? Come down from your fence, and open the gate It may be rainin', but there's a rainbow above you You better let somebody love you, before it's too late เนื้อเพลงเอามจาก http://www.mp3lyrics.org/e/eagles/desperado/ ใน Music video ของ Carpenter จะอ้างถึง Billy the Kids ซึ่งเป็นจอมโตร เพลงนี้ ต้องค่อยๆ ตีความ ดังนี้ ************************ Desperado, why don't you come to your senses? "เดสเพอราโด้" จะให้เป็นชื่อของใครก็ได้ อาจจะหมายถึง สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ได้ เขา (คนร้อง) ขอถาม สรรพสัตว์ว่า "เมื่อไร จะมี สติ ? " หรือ จะแปลว่า เมื่อไร จะรับรู้ รู้สึกถึง จิตใจของตนเอง สืบค้นหาตนเอง (เรา ชั่วอย่างไร เรามีสันดานอย่างไร เราเกิดมาทำไม ฯลฯ) ..... เมื่อไรเราจะเข้าใจถึงความเชื่อมโยงของใจเรากับใจเขา ความเป็นหนึ่งเดียวกันของเรากับทุกอย่างในจักรวาล เราทำร้ายใครสักคน ก็เท่ากับทำร้ายตัวเรานั่นเอง เพราะ เชื่อมโยง ถึงกันหมด *********************** ผมเชื่อว่า คนแต่ง คือ The Eagles ไม่ใช่แค่ นักร้องเพลง เอามันส์ อย่างเดียว เพลงของพวกเขา เป็นแนว "เพื่อชีวิต" ครับ เขาอาจจะหมายถึง พวกเรา ที่หลงไปกับ "เสพนิยม" "บริโภคนิยม" จน ไม่ได้ฉุกคิด ไมได้เฉลียวใจ ... เราทำลายจิตใจของเรา ของคนอื่น ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เราไม่รักลูกหลาน เพลงนี้ คงเตือนใจ นักอุตสาหกรรม นักการเมือง นักธุรกิจ ทั้งหลาย ให้ หยุดคิด และ มี "สติ" มี การตื่นรู้ (senses) You been out ridin' fences for so long now พวกเรา/ คุณ / พวกเจ้า / นักบริโภคนิยม ฯลฯ ได้ ขึ้นมายืนบน รั้ว (หวาดเสียว น่ากลัว อันตราย) นานแล้ว ความหมาย คือ มาอยู่ใน ถนนสายด่วน (eagle มี อีกเพลง ชื่อ Living in the fast lane) อยู่ในโหมดเร่งรีบ พวกเจ้า อยู่ในโหมดปกป้องตนเอง ต่อสู้ หวาดระแวง โหยหาอะไรที่มันไม่ยั่งยืน Oh, you're a hard one ทั้งที่เรา ทุกคน ก็มีดี มีศักยภาพ (ที่จะพ้นทุกข์) มีความสามารถที่จะรักคนอื่นได้ แกร่ง กล้าทุกคน I know that you got your reasons ฉัน รู้ว่า พวกเรา คงมีเหตุผลของตนเองด้วยกันทั้งนั้น .... แต่ เคยฟังเหตุผลของคนอื่น เขาบ้างหรือเปล่า เอาแต่ "ตะแบง" ๆๆ ไปวันๆ เคยเรียนรู้ที่จะฟังคนอื่น ... เคารพความแตกต่างทางความคิดของคนอื่นหรือเปล่า .. รักษาน้ำใจคนอื่นบ้างหรือเปล่า These things that are pleasin' you Can hurt you somehow สิ่งต่างๆ ที่ เจ้าทำ อาจจะทำให้เจ้า สบายใจ สะใจ กำจัดความกลัวออกไปได้ ... แต่ สุดท้าย มันก็จะย้อน มำทำลายตัวเจ้า เจ้ากลัว เจ้าจึง ด่าเขาก่อน เจ้าจึงกอบโกยก่อน เจ้าจึงเอาเปรียบเขาก่อน เจ้าจึงสั่งสอนเขาก่อน เจ้าจึงยกเหตุผลออกมามากมาย ฯลฯ Don' you draw the queen of diamonds, boy She'll beat you if she's able You know the queen of hearts is always your best bet อย่าเพิ่ง แบไพ่ ควีนส์ข้าวหลามตัด (ความรุนแรง อารมณ์ฉุนเฉียว ความกลัว ความเกลียด ฯลฯ) เพราะ หล่อน (ธรรมชาติ กรรม ชะตากรรม) จะชนะคุณแน่ๆ คุณก็น่าจะรู้ว่า ไพ่ควีนส์โพแดง (ความรัก ความเมตตา) เป็นไพ่ที่ดีที่สุดของคุณ ... คุณควรจะแบมันออกมา !!! ไพ่ข้าวหลามตัด อาจจะหมายถึง สิ่งสมมติ เงินทอง เพชร พลอย ฯลฯ ที่ ให้คุณแบบเจือโทษ หากไปติดยึดมัน และ เจ้าไพ่เพชรนี้ สามารถทำร้ายเราได้นะ เชื่อเถอะ (คนร้องบอก) ว่า ไพ่ที่ดีที่สุด คือ ไพ่หัวใจ ความรักความเมตตา ความสุขสงบที่ใจ มีค่า กว่า เพชรนิลจินดา เงินทอง ความสุขทางโลก มากนัก ****************** ก่อน จะโพสต์อะไร ก่อนจะสนทนาอะไร ใคร่ครวญให้ดีๆ ไม่ต้องรีบร้อนตอบ ไม่ต้อง เป็น "ชาวสวน" (สวนกลับ เอาคืน ล้างแค้น ด่าให้เจ็บ) เราต้องเป็น ชาวไล่ ไล่กิเลส ไล่สันดาน วีนๆ ออกไป ... Now it seems to me, some fine things Have been laid upon your table But you only want the ones that you can't get ตอนนี้ ผม (คนร้อง) เห็นชัดว่า สิ่งสวยงามต่างๆ ความดีงามต่างๆ ได้วางอยู่บนโต๊ะแล้ว (ต่อหน้าคุณแล้ว ความสวยงามของธรรมชาติ เพื่อนที่ดีๆในเว็ปนี้ กัลยาณมิตรที่คอยช่วยเหลือ ฯลฯ) แต่ คุณก็ยังโหยหา ต้องการ เรียกร้องเอาแต่ สิ่งที่คุณยังคิดว่ายังไม่มี ยังไม่ได้ ทั้งๆ ที่ ความดี ความสวยงาม ต่างๆ มีอยู่ในเว็ป (managerroom.com) นี้แล้ว คุณจะโหยหาอะไรอีก คนรอบข้าง ก็ล้วนแต่ รัก ช่วยเหลือ ฯลฯ คุณจะโหยหาความรักอะไรอีก สงสารพวกเขาบ้าง เมตตาพวกเขาบ้าง พวกเสพนิยม โหยหาแต่ความสนุก ทำลายป่า ทำลายน้ำ กินเหล้า เมายา บ้าพนัน ฯลฯ เป็นความสุขปลอมๆ .... โดยไม่รู้ว่า ความสุขต่างๆ ก็อยู่ รอบตัวเขา ใกล้ตัวเขานั่นเอง (ความสุขที่ใจ ด้วยจิตสงบ นั่นเอง แต่ ก็ หาความสงบในจิต ไม่เป็นสักที) Desperado, oh, you ain't gettin' no younger Your pain and your hunger, they're drivin' you home And freedom, oh freedom well, that's just some people talkin' Your prison is walking through this world all alone เดสพาราโด้ ... เจ้าก็ไม่ใช่เด็กอีกแล้วนะ ความเจ็บปวด ความโหยหา น่าจะกำลังพาเจ้า กลับบ้าน ( พาจิตกลับบ้าน คือ หาจิตให้เจอ หาความสงบในจิตให้เจอ มันไม่ได้อยู่ในตำรา ไม่ได้อยู่กับความคิด อย่าหลงความคิดของเจ้าเอง) โอ ... ความอิสระ ความว่างของจิตจากขันธุ์ห้า จิตว่าง นิพพาน ที่ใครเขาพูดกัน จริงๆแล้ว ก็แค่ .. คุกที่ขังเจ้ายังไม่เห็นเลย ใยต้องพูดถึงเรื่องนิพพาน เจ้ายังไม่เห็นคุกที่ขังเจ้าเลย เจ้าเอาแต่คิด เอาแต่อ่าน เจ้าไม่ รับรู้ (sense) สัมผัสถึง จิตใจของเจ้าเลยหรือ เจ้าโดน ความคิดที่ผสมกับจิตของเจ้า เละเหลวเป็นสังขยา เจ้ายังไม่ รับรู้เลยหรือ เจ้าเอาแต่ พูดๆๆๆๆๆ บ่นๆๆๆๆ เจ้า ไม่ฟังเสียงภายในของเจ้าเองเลยหรือ ( เราแบกคุกไปไหนมาด้วยกับเราเสมอนะ เราขังตัวเราเองด้วยความคิดของเราเองนั่นแหละ เราเป็น Prisoner of our own thoughts_ คิดอย่างไรเราก็เป็นเช่นนั้น ผมจึงแนะนำให้พวกเรา ฝึกสติ เอาสติเป็นมีดบั่นจิตกับความคิดออกจากกัน แยก "จิต สติ ความคิด" ให้ได้นะ ) Don't your feet get cold in the winter time? ไม่รู้สารู้สม ไม่รู้สึกเลยหรือไง ? The sky won't snow and the sun won't shine ไม่สนใจอะไรเลย หรือ ว่าตายไปแล้ว !!! It's hard to tell the night time from the day You're loosin' all your highs and lows Ain't it funny how the feeling goes away? คุณไม่รู้สึก ถึงเท้าที่ต้องความเย็นในฤดูหนาวหรือ ท้องฟ้าไม่มีหิมะ พระอาทิคย์ไม่ส่องแสง มันบอกได้ยากนะ ว่ากลางวันหรือกลางคืน เจ้าสูญเสียทั้ง สูง และ ต่ำ (เจ้าไม่รับรู้ ความร้อน ความหนาวเย็น .. เป็นสภาวะที่เจ้าจะต้องเผชิญ.. เจ้าไม่รับรู้อะไรทั ้งนั้น เพราะ เจ้า (เสพนิยม นายทุน นักอุตสาหกรรม ฯลฯ) ทั้งหลาย เจ้าขาด "ความรู้สึก" ไปแล้ว เจ้าไม่รู้สึก ตลกหรือไง ที่ เจ้า "สูญเสีย" ความรู้สึกต่างๆไป (ความรู้สึก ถึง น้ำใจของคนในเว็ปที่มีต่อเจ้า ความรู้สึกที่ดีงามตามธรรมชาติ ความเป็นปกติที่จิตใจ ) ***********จริงๆแล้ว คือ มีความรู้สึก แต่ ปกปิดมันเอาไว้แน่นสนิท นี่แหละ ที่ผมเรียกว่า "หลงความคิด หาจิตไม่เจอ" หรือ "ความคิดบดบังความรู้สึก" ความรู้สึกทางอายตนะต่างๆ หู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ ซึ่ง ความรู้สึกทางใจนี่เอง ใครศึกษา ใครสังเกต ใครทำให้จิตใจเป็นอิสระจากความคิดได้ถาวร คนนั้นก็พ้นทุกข์ ) ************************ เราอาจจะหมายถึง คนที่ ขาด สติ ในการ รับรู้ การเปลี่ยนแปลงทางกาย เวทนา (หนาวร้อน) จิต ธรรม Desperado, why don't you come to your senses? Come down from your fence, and open the gate It may be rainin', but there's a rainbow above you You better let somebody love you, before it's too late Desperado ทำไมเจ้าไม่ ใคร่ครวญ กลับมารับรู้ตนเอง ตื่นรู้ มี "สติ" บ้าง ? ลงมาจากรั้ว ( เจ้าทำตัวโดดเดี่ยว อยู่ในโลกของตนเอง บนเส้นทางแห่งความกลัว เกลียดชัง ฯลฯ) ลง มาเปิดประตูออกไป ( เปิดใจ open heart) เปิดรับ ฟังคนอื่นเขาบ้าง ... หยุดตะแบง แผดด่า ผู้คน ... คิดมุมเดียว วิ่งไปข้างหน้า ประดุจกระทิงเปลี่ยว ทั้งบ้า ทั้งไม่ฟังใคร หูอื้ออึง ทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แว้งกลับมาขวิดทุกคนที่ "ตักเตือน" .. ใยเจ้าต้องหลงลืม ผู้มีพระคุณที่เลี้ยงดูเจ้ามา... ใยเจ้าต้องโกรธแค้ นบุพการี ที่จากเจ้าไป เมื่อเปิดประตูแล้ว แม้นว่าจะเจอฝน (อุปสรรค) แต่ ก็ยังมีฟ้าใส (ความสำเร็จ) รอเจ้าอยู่ เจ้าควรเปิดโอกาสให้คนอื่นได้รักเจ้าบ้าง ... ก่อนที่มันจะสายเกินไป **** ในนามแห่งความดี คนที่คิดว่าตนเองดี มักปิดโอกาสคนอื่นๆ ประนามคนอื่น Billy the Kids หรือโจรต่างๆ หลายคน เช่น ในเรื่อง The Batman เขาไม่ได้ปล้นเพื่อเงินทอง เขาปล้นเพื่อประชดสังคม ตอนเด็ก โดนผู้ที่อ้างตน อ้างในนามแห่งความดีทำร้ายพวกเขา นึกถึง Hitler ที่โดนชาวยิวรังแกพ่อแม่ของเขา สุดท้ายเขาเอาคืน ฆ่าคนยิวไปเป็นล้านคน ฆ่าแบบขาดสติ

อย่าทิ้งภูมิปัญญาท้องถิ่น ก็คืออย่าตัดรากตนเอง

ต้นไม้ ถ้าไม่เช่ือมโยงกัน ก่ิง ลำต้น และ ราก แถมยังหลงระเริง ไปยืมดอก ยืมผลต้นอื่นมา เสียบต้นตนเอง __ ก็มีแต่รอวันตาย ....... การหันกลับไปดูแลวัฒนธรรมตนเอง กลับไปย้อนศึกษาความผิดพลาดและสำเร็จ ในอดีตของตนเอง เรียนประวัติเชิงวิเคราะห์พพฤติกรรมมากกว่าท่องจำ ไม่ทอดทิ้งภูมิปัญญาของตนเอง เคารพรากเหง้าตนเอง สำนึกในกำพืดตนเอง ก็เหมือนต้นไม้ที่ มีความเช่ือมโยง ราก ต้น ก่ิง ใบ นำ้อาหารสามารถต่อถึงกันได้หมด ดอกและ ผลท่ีได้ย่อมสมบูรณ์ และสามารถดำรงเผ่าพันธ์ เช่ือมโยงกับธรรมชาติ ไม่ให้โทษ และ ช่วยเหลือผู้อ่ืนได้ด้วย

Tuesday, September 4, 2012

ฝึกสติ ก็ต้องขยันๆ และ มีครูฝึกที่ดีด้วยนะ

ทีจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ยัง มี ครูกวดวิชา คร่ำเคร่งจะเอาเป็นเอาตายกันให้ได้ จ่ายเงินไปมากมาย เสียเวลาเดินทาง ไปรับไปส่งกันได้ ____ พอ จะฝึกสติ กลับไปไม่มีครูฝึก ไม่เข้าหาบัณฑิต ไม่คร่ำเคร่ง ขี้เกียจฝึก ค่าฝึกฟรีอีกต่างหาก วัดดีๆมีมากมาย ไม่ต้องไปไกล_____ ทีฝึกกินเหล้า สูบบุหรี่ ทั้งเหม็น ทั้งขม ทั้งเปลืองเงิน สร้างความรำคาญให้ผู้คน ไม่มีครูฝึก แต่ มีคนมายั่ว ก็ว้อมฝึก จนคอแข็ง สูบได้วันละหลายซอง ยอมตายเพื่อดื่ม เพื่อสูบ _____ ซื้อเงาะ กิโลละไม่กี่บาท เลือกแล้ว เลือกอีก ต่อราคาแล้วต่อราคาอีก แต่ พอซื้อบ้าน ราคาเป็นล้าน มีแต่รูปภาพในกระดาษ จ่ายได้ง่ายดายมาก ______ พ่อแม่อดทนเลี้ยงมาด้วยความยาก ลำบาก รักแท้แน่นอน รักแบบสุดๆ ไม่เคยกลับไปดูแล แถมยังตวาด ข่มขู่พ่อแม่ พอมีผัวมีเมีย ทะเลาะกันนิดเดียว น้อยใจว่าเขาไม่รัก ฆ่าตัวตายเสียแล้ว ___

Saturday, September 1, 2012

กตัญญูกตเวที คือ รากฐานของคน

อย่าลืม หันหลังกลับไป ดูแล คนด้านหลังท่ีผลักดันส่งเสริม อดทน สนับสนุน เราด้วยนะ

อุปมา ใช้บันใดแล้ว. อย่าเผาบันใดทิ้ง หรือ ยกบันใดหนีไปท่ีอ่ืน. วางหรือ เก็บบำรุงรักษาเอา
ไว้ให้คนอื่นได้ใช้บ้าง หรือไม่แน่ สักวัน หากจำเป็น อาจจะใช้เป็นทางถอย ก็ได้. รวมไปถึงการ สร้างบันใดใหม่ด้วย
ดังนั้น เสร็จศึก อย่าฆ่าขุนพล.
องค์กรสมัยนี้. ลืมผู้มีพระคุณ. ลืมอดีต. ไม่บันทึก ไม่ศึกษา ไม่ขอบคุณ เกษียณแล้วไล่ส่ง ฯลฯ น่ีคือ องค์กรไม่เรียนรู้
คนมีกตัญญูกตเวที และ ศีลธรรม จะท่ำให้ "เหลาเอี๊ยะป๋อห่อ"


Thursday, August 30, 2012

ความรู้สึกที่กาย vs ที่ใจ

ความรู้สึกท่ีกาย คือ sensing รวมไปถึง รับรู้ทาง ได้ยิน ได้กล่ิน ได้เห็น ได้รสชาติ ( hearing smelling seeing tasting ) และ กายหนาวร้อน เจ็บปวด
ความรู้สึกท่ีใจ คือ feeling ซ่ึง เม่ือเกิดความรู้สึกท่ีใจ จะสังเกตได้ว่า อาการของกายจะเปล่ียนแปลงตามไปด้วย จากหายใจเข้าช้าไปเป็นเร็วขึ้น เกร็ง ขมวดคิ้ว เลือดลมสูบฉีดแรง ฯลฯ
ความรู้สึกท่ีใจ เช่น เจ็บใจ แค้น เศร้า โกรธ กลัว งก หวง โลภ อยากได้ เสียดาย ห่วง กังวล บ้ากาม เบ่ือ เซ็ง หมดกำลังใจ ท้อแท้ ดีใจ เสียใจ ฯลฯ มีทั้ง บวกและลบ กุศลและอกุศล
ความรู้สึก ท่ีใจนี้ เป็น ผลลัพธ์ (outcome) ท่ีตัดสิน ทุกข์ มาก หรือน้อย เป็นกรรมต่อไป
เราควรฝึกย้อนมาดูกาย ดูใจ ของเรา เป็นนิจนะ
ทุกวันนี้ เรามีแต่ จะคิด ฝึกคิด (thinking) มากไป จนขาด ตัวรู้ท่ีกาย ที่ใจ ทำให้ไม่เข้าใจ (ท่ีใจ) เรื่องทุกข์
เร่ืองทุกข์ เกิดท่ีใจ ก็ต่่้องฝึกใจให้ได้ก่อน ไม่ใช้ฝึกคิด คิดมากไป
คนเรายังไงต้องคิด แต่ให้คิดตอนใจสบาย ใจโล่ง นะ

เรารู้สึกอย่างไร ตอนที่ ดีใจ กับ โล่งใจ
ดีใจ ยังเจือกิเลสนะ
โล่งใจ จะโปร่งสบาย เหมือนหลุดออกจากกรง ได้อิสระ
โล่งใจ สบายๆ ต่างจากดีใจนะ มันไม่กุศล ไม่อกุศล มันใสๆ โปร่ง เหมือนตอนโดนศาลสั่งยกฟ้อง หรือ สอบวิชาสุดท้ายเสร็จ
ฝึกสร้างความรู้สึกท่ีกายและใจ คือ การฝึกสติน่ันเอง
อย่าให้ความคิด แย่งความรู้สึกนะ
ฝืนความเคยชิน เร่ือง เอาแต่คิดบ้างนะ ลองให้โอกาส กายใจ ได้รับรู้บ้าง
เหล่านักคิดทั้งหลาย จมความคิดมานาน ลองเปิด ความรู้ใหม่ รู้ด้วยกาย ด้วยใจ บ้างนะ
"จิตว่าง แล้วค่อยคิด
อย่าด่วนคิด ตอนจิตไม่ว่าง "

หลงคิด น่ีแหละ ทำให้เกิดทุกข์



Wednesday, August 29, 2012

ถาม ตอบ เรื่องนั่งสมาธิ

ผมขออนุญาต ตอบคำถาม ตามความเห็นของผมเอง คำถามต่างๆ ที่หลายๆท่านได้ถามผมในวาระต่างๆ (๑) ทำไมต้องนั่งขัดสมาธิ ? : ผมเชื่อว่า เป็นการ "บีบบังคับ" ในเบื้องต้น ไม่ให้เรา ขยับระยางค์ (แขนขา)ของเราได้ถนัด จิตกับความคิดจะได้ ไม่ออกไปนอกกาย ยิ่งนั่งขัดสมาธิเพชรจะล็อคขาเอาไว้ทำให้ต้องเตือนตนเอง หากคิดจะขี้เกียจ เลิกฝึกก่อนกำหนด นอกจากนี้ การนั่งสมาธินั้น เป็นรูป ๓ เหลี่ยนด้านเท่า หากเราเหยียดแข้งเหยียดขา เหยียดแขนออกไป จะเพิ่มโอกาสในการส่งจิตออกนอกได้ง่ายขึ้น และ ลักษณะของ ๓ เหลี่ยนด้านเท่าในการนั่งขัดสมาธินั้น ทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลมาก รวมไปถึง การที่ใครๆมองมา ก็ รู้ว่า คนๆนี้กำลังนั่งสมาธิ จะได้หลีกเลี่ยงการรบกวน อย่างไรก็ตาม หากผู้ฝึก อายุมากแล้ว นั่งท่าไหนก็ได้ แต่ ทุกครั้งที่ขยับตัว ก็ให้มีสติกำกับ คือ รู้เท่าทัน รู้ทันเวทนาที่เปลี่ยนไป จาก เหน็บชาเป็นสบาย ผู้ที่กำลังสติมากแล้ว แยก "จิตกับความคิด" ได้แล้ว ไม่ต้องนั่งสมาธิก็ได้ เพราะ เดิน ยืน นั่งนอน ทุกอิริยาบท สามารถมีสติ ใจสบายๆ มีสติควบคุมความคิดได้แล้ว ทุกข์มาพร้อมความคิด ดังนั้น ถ้าเราดีดความคิดจรออกไปได้ ดับความคิดเฉโก ( เฉโก คือ ความคิดที่เจือกิเลส เต็มไปด้วยอัตตาตัวตน ตัวกู ของกู คำว่า เฉโก นี้ เป็นของท่านพระอาจารย์พุทธทาส) ได้ จากเดิมจิตทำงานร่วมกับความคิด เมื่อเราฝึกสติมากๆ อุปมาเป็นมีดหั่นจิตออกจากความคืด จากเดิม จิตบงการความคิด แต่ เมื่อสติมากๆ เป็นมหาสติ จิตจะว่าง ว่างจากความคิด เพราะ เรา เอาสติไปควบคุมความคิดแทนจิตได้แล้ว เมื่อเป็นมหาสติ เราจะได้ "สติออโต้" รู้ทันกิเลส หรือ รู้ทันความคิดจร ดับความคิดเฉโกได้ นี่แหละ ดับทุกข์ได้แล้ว ใจโล่งๆ ๒๔ ชั่วโมง อยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็มีความสุขแบบทางธรรม ไม่มีทุกข์ และ รับผิดชอบการงาน ทำตามหน้าที่ ไม่ขี้เกียจ ไม่เอาเปรียบสังคม
(๒) ทำไมต้องปิดตา ? : เพื่อลดอายตนะ "ตา" ลงไป เพราะ ถ้าเห็น ก็มักจะอดคิดไม่ได้ การนั่งสมาธิ ก็เพื่อ หัดสร้างกำลังสติที่ "ฐานกาย" (ดูลมหายใจ รู้ตัว รู้กายด้วยกาย )และ เฝ้าระวังความคิด โดยเฉพาะ ความคิดจร (ความคิดที่ไม่ได้เชื้อเชิญ ความคิดที่มาชวนเปลี่ยนอารมณ์ ) คำว่า " การสร้างตัวรู้ๆๆๆ" คือ การสร้างสติ นั่นเอง รู้กาย หรือ จะใช้คำว่า "สังเกตุกาย" ก็ได้ แต่ อย่าไปคิดแทนกาย ให้กายเขารู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับกาย การที่เราปิดตา ก็เพื่อลดการแทรกแซงของความคิด ผู้มีสติมากๆ แยก "จิต กับ ความคิด" ได้แล้ว ก็ไม่ต้องปิดตาก็ได้ ทุกอิริยาบท สามารถมีสติ ควบคุมอารมณ์ได้ ควบคุมความคิดได้ ใจสบายๆได้แล้ว (๓) ทำไมต้องบริกรรมพุทธโธ ? : ที่ให้บริกรรมพุทธโธ เพราะ ต้องการให้ ความคิดมีหลักในการเกาะ สำหรับมือใหม่หัดฝึก "จิตกับความคิด"ยังเกาะไปด้วยกันเป็นสังขยาเละไปด้วยกัน หากไม่บริกรรม ก็จะวุ่นวายคิดโน้นคิดนี่ โดยเฉพาะ คนที่มาจากระบบการศึกษายุคนี้ คือเอาแต่คิด ยิ่งคิดก็ยิ่งหาจิตหาใจของตนเองไม่เจอ จึงต้องเอาคำบริกรรมเป็นตัวล่อ ตัวเกาะ เป็นวิหารให้อยู่ไปก่อน นอกจากนี้ การบริกรรมพุทธโธ ก็เหมือนการท่องบทคาถา ยิ่งบริกรรมมากๆ จะกลายเป็นพุทธานุสติ คำว่าพุทธโธจะฝังลงในจิตในสำนึก ว่ากันว่า ฝังในระดับจำข้ามภพชาติได้เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อฝึกมากๆ ชั่วโมงฝึกมาก ผิวหนังที่บริเวณรูจมูกรู้ว่ามีลมเข้าออก เย็นร้อน ถี่ช้า ฯลฯ โดยไม่ได้เอาความคิดไปแทรกแซงการรู้ กำลังสติจะมากขึ้น คำบริกรรมพุทธโธนี้จะหายไปเองโดยอัตโนมัติ คนที่ชอบ บริกรรมยุบหนอ พองหนอ โดยกำหนดตาม การยุบพองของพุง ก็ทำได้ แต่ เผอิญ ไม่ได้ฝึกมาแนวนี้ เลยไม่สามารถอธิบายได้ (๔) ควรทำวันละกี่นาที ? : ถ้านั่งสมาธิ ๓๐ นาที ผมแนะนำว่า ควรเดินจงกรมก่อน ๓๐ นาทีเช่นกัน แล้ว ยืนนิ่ง สัก ๕ นาที ยืนบริกรรมพุทธโธ พร้อมกับดูลมหายใจเข้าออก ทำใจสบายๆ หลักการเดียวกันกับการนั่งสมาธิ แล้วจึงค่อย นั่งสมาธิ ๓๐ นาที เนื่องจาก ผมเรียนเรื่องกรรมฐานนี้มาจาก พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่จันทา ถาวโร (วัดป่าเขาน้อย) ซึ่งเป็นท่านเล่าให้ผมฟังว่า อาจารย์ของท่าน คือ หลวงปู่ขาว อนาลโย (วัดถ้ำกลองเพล) ท่านจะให้ เดินจงกรม ๑ ชั่วโมง ยืน ๑๕ นาที นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมง และ ต่อด้วย เดินจงกรม ๑ ชั่วโมงครึ่ง ยิน ๑๕ นาที นั่งสมาธิ ๑ ชั่วโมงครึ่ง และ เดินจงกรม ๒ ชั่วโมง ยืน ๑๕ นาที นั่งสมาธิ ๒ ชั่วโมง จากประสบการณ์ ผมเชื่อว่า ถ้าเดินและยืนก่อนจะมานั่ง จะนั่งได้ดี ทน และสงบเร็วมาก ปกติ ผมจะฝึก สร้างสติ ให้ฝ่าเท้ารู้ๆๆๆ ทุกก้าวที่เดิน โดยทำทั้งวัน ทุกเวลาที่มีโอกาส ไม่ว่าจะเดินไปทำงาน เดินไปห้องน้ำ นั่งรอ ยืนรอ ก็ดูลมหายใจ สร้างสติกำกับทุกอิริยบท นั่นคือ ทำทั้งวัน แม้นแต่ในฝัน ก็ระลึกว่า ต้องฝึกสติ ฝึกดูลมหายใจว่าหลับที่พุทธ หรือ ที่โธ และ ตื่นที่พุทธ หรือที่โธ การฝึกสตินั้น ยิ่งมากย่ิงดี ฝึกในขณะทำงานก็ได้ มือทำไป ก็สร้างตัวรู้ ที่มือ ที่กาย ที่เท้า ทำใจสบายๆ ระวังความคิดจร คิดอยู่แต่กับเรื่องงาน ไม่อคติ ไม่ลำเอีบง ไม่เฉโก (๕) ควรไหว้พระ สวดมนต์ แผ่เมตตาไหม ? : ผมคิดว่า จำเป็นนะ ทั้งนี้ ก็แล้วแต่โอกาส สถานที่ด้วย ทำได้ก็ทำ ไม่เสียหายอะไร หรือ คิดแบบ มวยไทย ก็คือ ไหว้ครูก่อนขึ้นชก ดูแล้วกตัญญู คล้ยๆกับวอร์มอัพ (warm up) เตรียมความพร้อม หรือ อุ่นเครื่อง (๖) ว่ากันว่า ถ้าไม่มีครูอาจารย์ นั่งสมาธิแล้วจะเพี้ยน เป็นบ้าได้ จริงหรือไม่ ? : ผมเชื่อว่า การฝึกกีฬา ฝึกดนตรี ก็เหมือนฝึก "สติ" ควรมีโค้ช (coach) เป็นโค้ชที่ยังไม่ตายนะ เพราะ เราจะได้สอบถามท่าน หากผิดพลาดจะได้มีการแก้ไข หลวงปู่หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ท่านถนอดสังขาร ไม่ละสังขาร ก็เพื่อรอเราเข้าไปถามเรื่องการฝึกนี่แหละ หลายคนนั่งสมาธิแล้ว หลงไปนิมิต หลงนิมิต เห็นโน้นเห็นนี่ นี่แหละ อาจจเพี้ยนได้ มั่วได้ คิดไปเองก็มี มั่วก็มี ฯลฯ ซึ่งถ้าพวกเขามีครูอาจารย์ และ เชื่อฟังครูอาจารย์ ทำตาม ไม่ดื้อ ก็ไม่มีทางเพี้ยน มีแต่จะสุขมากขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น ดูแลคนใกล้ชิด ดูแลสังคม ทำงานได้ดีขึ้น น่ารักมากขึ้น ฯลฯ หลายคนไปวัด เอาแต่ถามเรื่องส่วนตัว เรื่องทำงาน เรื่องโลกๆ ผมคิดว่าน่าจะฝึกๆๆๆๆ และ ถามท่าน เช่น ฝึกแบบนี้ใช่ไหม ผมทำผิดหรือเปล่า ขอกำลังใจมนการฝึก ขอเทคนิคในการฝึก ฯลฯ เอาสิ่งที่พ่อแม่ครูอาจารย์สอนนี้ ไปทำต่อ แล้ว มีโอกาส ก็กลับมาถามอีก (๗) จะวัดผลการฝึก อย่างไร ? : สติมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น ทั้งกาย ทั่วกาย ทุกอิริยาบท ได้สติต่อเนื่อง ลดการทะเลาะกับผู้คน ไม่โกรธใคร ดับความโกรธได้เร็ว ไม่โลภ ไม่หลง นิสัยดีขึ้น ศีลครบ น่ารักขึ้น มีน้ำใจมากขึ้น มีเมตตามากขึ้น ไม่โหด ไม่งก ไม่เค็ม รู้จักฟัง เป็นคนดี ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่พูดมาก ไม่ขี้โม้ ฯลฯ หมดคำว่า "ขี้" ทั้งหลาย ขี้เกียจ ขี้คุย ขี้งก ขี้โอ่ ขี้เบ่ง ขี้ไถ ขี้หลี ฯลฯ บางคนฝึกมาก ไปวัดบ่อยมาก แต่ นิสัยยังเต็มไปด้วย "ขี้" ดังกล่าว ก็ถือว่า สอบตก ไม่ผ่าน ไม่มีประสิทธิภาพในการฝึก หลายคนเข้าวัด ฝึกสติ แต่ ขาดเมตตา ยังโหดเหี้ยม เอาเปรียบคนอื่น ไม่ให้อภัยใคร ฯลฯ นี่ ก็สอบตก ไม่ผ่าน ไม่ก้าวหน้า (๘) ทำไมต้องมือขวาทับมือซ้าย เท้าขวาทับเท้าซ้าย ? : ตอนฝึกใหม่ ผมไม่สงสัย ไม่วิจิกิจฉา (สงสัยมาก คิดมาก) หลวงปู่จันทา หลวงพ่อกล้วย (วัดป่าธรรมอุทยาน) ท่านสั่งให้ทำอะไร ก็ทำไป ต้องไว้ใจท่าน เราเลือกท่านเป็นโค้ช ผมไม่ถามจนกว่าจะฝึกๆๆๆๆๆ ตามที่ท่านสอนแล้ว มาระยะหลังหลังนี้ มีคนถามเยอะ พวกนักคิดเยอะ พวกที่มาวัดจากการอ่านหนังสือ อ่านเว็ป เป็นผู้ชำนาญการคิด เต็มไปด้วยความคิด ทั้ง สงสัย วิจารณ์ วิเคราะห์ จับผิด คิดเทคนิคใหม่เอง อ้างอิงตำรา เปรียบเทียบคำสอนแต่ละสำนัก ฯลฯ คนคิดมากแบบนี้ ฝึก "สติ" ได้ยาก เพราะ เราต้องฝึก ให้กายได้รู้ๆๆๆ โดยไม่เอาความคิดไปแทรกแซงการรู้ของกาย กายรู้กาย จิตรู้จิต ไม่ใช่ เอาความคิดไปรู้กาย ไม่ใช่เอาความคิดไปรู้จิตนะ เวลานั่งสมาธิ ผมจะให้กายเป็นผู้สังเกต กายเป็นผู้รู้ ผมมั่วเอาเองว่า มือซ้ายใกล้หัวใจ ดังนั้น ให้กาย (หลังมือขวา) รับรู้ ความร้อนที่เกิดขึ้นจาก กาย (อุ้งมือซ้าย) กายจะสังเกตความร้อนที่สะสมขึ้นเรื่อยๆ (๙) ทำไมต้องนิ้วโป้งซ้ายชนขวา หรือ นิ้วโป้งซ้ายใต้ขวา ? : เป็นการสร้างตัวรู้ กายรู้กาย นิ้วโป้งซ้ายและขวาจะชนกัน หรือทับกันก็ได้ ทั้งนี้ ก็เพื่อ ให้ กายรู้กาย หากนั่งไปแล้วลืมตัว จะขาดสติที่กายรู้กาย นั่นคือ ตกภวังค์ไปแล้ว อาจจะหลับและฝันก็ได้ ดังนั้น ถ้าเราง่วง หรือดิ่งสงบ จนความรู้สึก (sensing) หายไป หรือ บางท่านบอก "กายหายไป" ผมจะไม่ดิ่ง ไม่หลับ ไม่ให้กายหายไป ไม่ยอมให้เสีย sensing แน่นอน เพราะ ผมยังรู้สึกที่ นิ้วโป้งชนนิ้วโป้งอยู่ ความร้อนจากมือซ้ายยังขึ้นมายังมือขวาอยู่ ความร้อนที่ก้นแตะพื้น ความร้อนที่ขึ้นมากระทบขา แข้ง ยังมีอยู่ ความรู้สึกของลมผ่านเข้าออกรูจมูกยังมีอยู่ รู้แม้นกระทั่ง ขนในรูจมูกลู่ไปตามลม ลมพัดโดนเส้นผม ลมพัดโดนลำตัว ก็รู้ๆๆๆๆ (๑๐) ทำไม มีพระท่านบอกว่า ฝึกในที่อากาศหนาว จะดีกว่าที่ร้อน ดีกว่าริมทะเล ? : เนื่องจากการฝึกสติ เริ่มต้นที่ กายรู็กาย การฝึกในที่หนาวๆ เราจะคิดฟุ้งซ่านน้อยลง เราจะกลับมาที่ผิวกายได้ง่าย และ การฝึกริมทะเลผมเชื่อว่า ว่อกแว่กง่าย เสียงคลื่นไม่แน่นอน แม่ค้าส้มตำ คนเปิดเพลงดังลั่น ห่วงกิน ห่วงนอน ตื่นตาตืนใจมากไป ผมเชื่อคำสอนที่ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ ฝึกในที่ สงัด โคนต้นไม้ บ้านร้าง ป่าช้า และ ทุ่งกว้าง ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ไม่มีริมทะเล ไม่มีทะเลทราย
(๑๑) ทำไมต้องนั่งสมาธิ ? : สำหรับมือใหม่ ลองนั่งไปดูก่อนนะ ชำนาญแล้ว ฝึกได้ทุกอิริยาบท ตามดู ตามรู้ ซึ่งพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อกัณหาสอนว่า "หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย" พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงพ่อกล้วย ก็สอนว่า "อยู่ที่ไหน ก็เอาสติไปเป็นเพื่อนด้วย" คำว่า นั่งสมาธิ จริงๆแล้ว ผมว่าน่าจะใช้คำว่า ฝึกสติโดยการนั่ง เพื่อให้จิตเป็นสมาธิ คำว่า จิตเป็นสมาธิ คือ จิตปราศจากกิเลสได้อย่างยั่งยืน คำว่า สมาธิ คือ ต่อเนื่อง ยั่งยืน ถาวร ไม่ว่อกแว่ก ไม่เปลี่ยนแปลง ไปเพี้ยนไป (๑๒) บางคนฝึกสมาธิมานาน ทำไม ดูแล้ว ยัง จี๊ดง่าย วีนง่าย โกรธง่าย นิสัยยังไม่ดีอยู่เลย ? : ผมเชื่อว่า การฝึกสติ นั่น ฝึกแล้ว ต้อง ละ "ขี้" ทั้งหลายออกไปได้ พวกเขาอาจจะฝึกผิดก็ได้นะ จากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อว่า ต้อง กตัญญูกตเวที คือ ดูแลพ่อแม่ให้ดี ต่อให้ฝึกสติทั้งวัน แต่ ไม่ดูแลพ่อแม่ให้ดี ก็ไม่น่าจะฝึกสำเร็จ ถึงขั้นได้ "มหาสติ" นอกจากนี้ ควรถือทำทาน ทำแบบไม่หวังผลนะ และ ควรถือศีลให้ครบ อย่างน้อยศีล๕ ต้องทำได้ การถือศีล ๕ เป็นการฝึกสติ ฝึกจิตด้วยนะ หลายคน ศีลบกพร่อง ฝึกหนักแค่ไหน ก็ยากจะพัฒนา ผมเชื่อว่า การฝึกนั้น ต้องละนิสัยไม่ดีออกไปด้วย ผมเชื่อว่า "ปฏิบัติธรรม ก็คือ ดัดสันดาน" (๑๓) การฝึกสตินั้นเอามาดัดสันดาน ยังไง ? : ถ้าเราเข้าใจเรื่อง "จิต สติ ความคิด" เราจะเห็นได้ว่า ก่อนที่จะ จี๊ดๆ ปรี๊ดๆๆ โกรธใคร ออกอาการของขึ้นนั้น จะมีความคิดจรแทรกเข้ามา คนที่ฝึกสติดีแล้ว จะรู้ทันความคิดจร และ ดับความคิดจรนั้นได้ทัน หรือ รักษาสภาพความคิดปัจจุบัน เอาไว้ได้ ความคิดจรต่างๆ เช่น ตัดสินว่าคนนั้นดีเลว เก่งกว่าโง่กว่าฉลาดกว่า รังเกียจ อคติ เพ่งโทษ วิจารณ์เชิงลบ วิจารณ์เชิงบวก ติดใจ เกลียด รัก กลัว อยากได้ ไม่อยากได้ ฯลฯ
(๑๔) ทำไมต้อง ไปฝึกที่ป่าช้า ? : ที่ป่าช้านั้น เราจะฝึกดูความคิดจร ดูจิตได้ดีนะ เพราะ ในป่าช้ามันช้าพอที่จะเห็นความคิดจร สมมติเรากำลังเดินหรือนั่งในป่าช้า หายใจสบาย เดินจงกรม ความคิดปัจจุบัน คือ กำหนดพุทธโธ พอมีเสียงอะไรประหลาด ความคิดจร จะ ตีความ จะปรุงแต่ง จนจิตเกิดอาการกลัว เมื่อจิตไม่ว่าง ความคิดเฉโกจะไหลออกมาเพียบเลย ถ้าเราฝึกในเมือง ในบ้านของเรา มันเป็นป่าเร็ว คือ มีความคิดจรรัวเข้ามาเยอะและเร็วมาก ราวกับปืนกล เราจึงดูไม่ค่อยจะทัน อุปมา การฝึกในป่าช้า คือ ฝึกว่ายน้ำในสระตื้นๆ ง่ายๆ เมื่อว่ายได้ดีแล้ว ค่อยไปว่ายในทะเล ในน้ำลึก ลื่นลมแรงๆได้ นั่นคือ อยู่ในสังคม ในโลกๆได้ (๑๕) เอาแต่ไปฝึกสมาธิ ไม่สนใจทางโลก ไม่รับผิดชอบ ? : เป็นความเข้าใจผิดนะ เป็นความคิดเฉโกของผู้ที่มีกำลังสติน้อย ฝึกมาน้อย ยังติดคิดๆๆๆๆๆอยู่ เป็นคำวิจารณ์ของผู้เชี่ยวชาญ ด้านคิดๆๆ ที่ยังไม่ได้ฝึก คนที่ฝึกสติดีแล้ว จะสมดุลทางโลกและทางธรรมได้ เมื่อจิตว่าง สติต่อเนื่อง จะดีดความคิดจร พวกขี้เกียจ อิจฉา ขี้ๆทั้งหลายออกไปได้ ดังนั้น จะ รับผิดชอบงานได้ดี ไม่โกรธ ไม่โลภ ไม่หลง ไม่โกง ไม่งกๆเค็มๆ ตรงกันข้ามกับคนที่สติน้อย แม้นจะขยันมาก ดูแล้วว่าทำเพื่อโลกมาก แต่ อาจจะทำร้ายโลกอยู่ก็ได้ หาเงินบนน้ำตาผู้คน ร่ำรวยโดยทำลายแม่ธรณี แม่คงคาอยู่ก็ได้นะ คนพวกนี้ ไม่สมดุลทางโลกและทางธรรม อย่างไรก็ตาม ผมก็แนะนำว่า ในเบื้องต้นควรปลีกตัวมาฝึก มาเข้าใจ มารู้เทคนิค มากราบโค้ช ฯลฯ อุปมา ฝึกกอล์ฟ ฝึกงาน เขายังต้องปลีกเวลาออกมาฝึกก่อนเลยนะ ใครจะโง่ทะเล่อทะล่าเข้าไปทำงานได้เลย ยิ่งทำก็ยิ่งผิดน่ะสิ (๑๖) ทำงานหนักมาก ไปไหนลำบาก ดูแลพ่อแม่แก่เฒ่า งานยุ่งมาก ? : งั้นก็รอตายแล้ว ชาติหน้าฝึกก็แล้วกันนะ หากยังมีลมหายใจ ก็ดูลมหายใจ ก็มีเวลาฝึก มีเวลาหายใจก็มีเวลาฝึก หากมีเท้าก้าวเดิน ก็กำหนดรู้ทุกก้าว หากมีการพบปะผู้คน ก็ฝึกละความคิดจร อย่าจี๊ดๆๆ หากมีเงิน ก็ฝึกการให้ทาน หากมีพ่อแม่ลูกเมีย ก็ฝึก อดทน ให้อภัย ยอมเสียเปรียบบ้าง หากมีเวลายกช้อน จับตะเกยบ ก็ฝึกกายรู้กายที่จับช้อน จับตะเกียบ หากมีฟันมีลิ้น ก็ฝึกรู้ๆๆๆทุกคำที่เคี้ยว หากอาบน้ำ ก็ให้กายรู้กาย รู้ทั่วตัว โดนน้ำตรงไหน เย็น อุ่น สบาย หากเข้าห้องสุขา ก็สร้างตัวรู้ รู้ขี้ในลำไส้ รู้กล้ามเนื้อหูรูกขมิบตูด หากยังอ้าง ยังคิดว่าไม่มีเวลา ก็ถือว่า ปัญญาอ่อนได้ถึงขนาดนี้เลยหรือนี่ ผมว่า คนพวกนี้ ขี้เกียจ และ ขาดศรัทธาจริงๆ ยังไม่มุ่งมั่นพอมากกว่า ทีหัดกินเหล้า ขมๆ ขมจนหมายังไม่กินเลย ก็ยังหาเวลาฝึกจนกินได้ ทีหัดตีกอล์ฟ เล่นคอมพิวเตอร์ ตีแบด ใช้ไอโฟน ยังฝึกได้เลยเนอะ

Tuesday, August 28, 2012

ทำไมต้องนั่งสมาธิ

มีหลายท่าน ชวนให้ผมแนะนำเรื่อง "การนั่งสมาธิ"(Meditation) ดังนั้น เพื่อให้ หลายคนสบายใจ ว่า "นั่งสมาธิ" ทำยังไง ผมขออนุญาต อธิบายตามความเข้าใจของผมเอง ดังนี้ (๑) คำว่า "สมาธิ" นี้ ผมคิดเอาเองว่า เป็็น คำขยายกิริยา (adverb) เพื่อทำให้ กิริยานั้น ดู "ต่อเนื่อง"(Continuous) "คงที่" "ไม่เปลี่ยนแปลง"(Constant) ยั่งยืน ไม่ว่อกแว่ก จดจ่อ ฯลฯ เช่น เล่นเกมส์อย่างมีสมาธิ ฟังอย่างมีสมาธิ มีสมาธิในการเล่นดนตรี เป็นต้น
(๒) ในทางธรรม ผมเชื่อของผมเองว่า จิตเป็นสมาธิ หมายถึง อาการของจิตที่มีลักษณะ นิ่ง ว่าง โล่ง โปร่ง สบาย อย่างต่อเนื่อง อย่างคงที่ อย่างยั่งยืน โดย จิตไม่เปลี่ยนแปลง จิตไม่เป็นทั้งกุศล จิตไม่ทั้งอกุศล จิตไม่เสวยอารมณ์ใดๆ จิตว่างๆ กลางๆ โล่งๆอย่าง "ต่อเนื่อง" (๓) ที่นี้ ก็มีคำถามว่า จิต คือ อะไร ? ใจ คือ อะไร _? ผมก็มักตอบแบบง่ายๆ ว่า ใจ คือ จิตเดิมแท้ ใจคือจิตที่นิ่งๆ เป็นศูนย์ (0) เป็นกลางๆ __ จิต คือ ใจที่ไม่นิ่ง ไม่เท่ากับศูนย์ เสวยอารมณ์เข้าให้แล้ว เป็น + (กุศล) เป็น - (อกุศล) (๔) ก่อนอื่น ขอให้ทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า สำหรับคนที่มีสติไม่มากนั้น "จิตกับความคิด"ของเขา จะมัดรวมเป็นก้อนเดียวกันเลย เมื่อจิตเกิดอาการความคิดก็เกิดอาการด้วย จิตกับความคิดไปคู่กันประดุจมือซ้ายประกบมือขวา ซึ่ง เป้าหมายในการ นั่งสมาธินั้น ผมเชื่อว่า เพื่อ แยก จิตกับความคิดออกจากกัน ให้จิตเป็นอิสระจากความคิด ให้จิตไม่มีอิทธิพลต่อความคิด ให้ความคิดไม่มีอิทธิพลต่อจิต อย่างไรก็ตาม ผู้เริ่มต้นฝึกสติ มักจะ ช่างคิด คิดๆๆๆๆ เอาแต่คิดอยู่นั่นแหละ โดยหารู้ไม่ว่า ความคิดนั้นอันตรายมากๆ ความคิดของปุถุชนนั้นมักเจือกิเลส กิเลสปนเปื้อนมากับความคิด ความคิดของเราที่จำๆเชื่อๆเอาไว้ เต็มไปด้วย ความเท็จ ความจริง ความปลอม กุศล อกุศล ดังนั้น ตราบใดที่ เรายังฝึกสติได้ไม่มากพอ ที่ แยกจิตกับความคิดออกจากกัน เราก็ยากที่จะเข้าใจ "จิต" ของเราเอง (๕) ผมไม่ได้สอนให้ฝึก แยก "จิต กับ กาย" นะ ผมแนะนำให้ฝึกสติ เพื่อ แยก จิตกับความคิด ย้ำอีกที จิตกับความคิด ย้ำอีกครั้ง แยก "จิตกับความคิด" (๖) ตัวการที่ทำให้ จิตเกิดอาการ หรือที่ บางท่านเรียกว่า "จิตเกิด" หรือ ท่านอาจารย์พุทธทาส เรียกว่า "จิตไม่ว่าง"นั้น คือ เจ้าความคิดนี่เอง ดังนั้น เราฝึกสติ ก็เพื่อ จะได้ เห็น (รู้สึก) ชัดๆ ว่า ความคิดวิ่งเข้าไปกระแทกจิต กระแทกตอนไหน จะได้รู้ทันท่วงที รู้ขณะที่ความคิดวิ่งชนจิตได้ยิ่งดี (๗)ขณะที่เรากำลังทำงาน ทำกิจกรรมใดๆ เช่น ล้างจาน อ่านหนังสือ ดูหนัง ฯลฯ ความคิดของเราตอนนั้น เรียกว่า "ความคิดปัจจุบัน เป็นความคิดที่เราตั้งใจคิด และ แล้ว จู่เรา ฏ้เผลอไปคิดเรื่องอื่น เจ้าความคิดที่พาเราออกนอกเรื่อง ออกจากความคิดปัจจุบัน หลวงพ่อกล้วย ท่านเรียกว่า "ความคิดจร" ผมเรียกใหม่ว่า " จอห์นนี่ " โดย คำว่า จร คือ จรลี หรือ มาแบบไม่ได้เชิญ หรือ ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้ ความคิดจร คือ ความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจคิด ไม่ได้เชิญ วิ่งเข้ามาเอง หรือ เผลอหลุด เปลี่ยนเรื่องคิดก็ได้ ถ้า ความคิดที่ตั้งใจเดิมวิ่งไปตามถนนทางหลวง เจ้าความคิดจร คือ ความคิดที่พาเข้าซอย แหกโค้ง เปลี่ยนถนนนั่นเอง ผิดแผน ออกนอกแผนที่ ส่วนใหญ่แล้ว เจ้า จอห์นนี่ มัก วิ่งมาชนจิต จนทำให้จิตเกิดอาการ จิตไม่นิ่ง จิตไม่ว่าง จิตไม่โล่ง (๘) สมมติ เรามีบ้าน ๓ หลัง (ผมยืม คำสอน อาจารย์ศุภวรรณ กรีน มาใช้) บ้าน ๑ คือ กาย บ้าน ๒ คือ ใจ และ บ้าน ๓ คือ ความคิด โดย บ้าน ทั้ง ๓ หลังนี้ ครอบ ทับซ้อนกันอยู่ บ้าน ๑ อยู่ในบ้าน ๒ และ บ้าน ๓ ครอบบ้าน ๒ อีกที__ ทีนี้ คนปกติ ยังคิดๆๆๆๆ คือ มักอยู่ในบ้าน ๓ คือ เอาแต่คิด วิจารณ์โน้นนี่ ตัดสิน พิพากษา ดูถูก วิเคราะห์ ตีความ จดจำ ฯลฯ ดังนั้น จึงยากที่ จะเห็นว่ามี บ้าน ๑ และ บ้าน ๒ __ แต่ ถ้าเมื่อใด เรามาอยู่ที่ บ้าน ๑ คือ บ้านกาย เราจะเห็น บ้านใจ และ บ้านคิด ได้ชัดเจน (๙) คำว่า "ดูลมหายใจเข้าออก" นั้น ผมขอแยกแยะคำว่า "ดู" ก่อนเลยว่า เป็นคำที่คนโบราณเขาหมายถึง ใช้ความรู้สึกของกายบริเวณที่โดนลมกระทบ รับรู้ (sensing) ว่าลมเข้าออก อุ่นเย็น แรงค่อย ฯลฯ ให้ กายบริเวณรูจมูกรับรู้ลมหายใจ อย่าไปคิด อย่าใช้ความคิด ให้กายเขารู้ (sensing) อย่าไปคิด (Thinking)แทนกาย (๑๐) ถ้าเรายกมือขึ้น หรือกวาดมือ แหวกอากาศ ขอให้ลองรู้สึก(sensing) ว่ามีลมกระทบแขน กระทบมืออย่างไร และ กรุณาอย่าคิดแทนแขน การเปิดโอกาสให้ กายได้รับรู้โดยไม่คิดนี้ คือ การมาอยู่ที่บ้าน ๑ หรือ สติที่ฐานกาย เป็น สติแบบกายในกาย (๑๑) เมื่อเรา ส่งความรู้สึกไปที่กาย ให้กายรู้ ( รู้ ๆๆๆ นี่เอง ที่เขาเรียกว่า สติ) กายรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับกายบ้าง ตัวรู้นี้ คือ ตัว "สติ" ที่เขาว่าๆกันนั่นเอง เป็น สติ ตัวแรก ใน ๔ ตัว ของ มหาสติปัฏฐาน ๔ ( มหา คือ ใหญ่ เยอะมาก เต็มเปี่ยม) (๑๒) เราเริ่มฝึกจากสติน้อยๆ ฝึกๆๆๆไปจนสะสมสติได้มากขึ้น เก็บคะแนนสติสะสมให้มากๆ จาก สติน้อย มินิสติ ก็กลายไปเป็น แมคโครสติ หรือ มหาสติ นั่นเอง เมื่อได้มหาสติ เราจะได้ สติแบบออโต้เมติก (automatic) หรือ ออโต้สติ นั่นคือ จะขยับตัวยังไงก็แล้วแต่ สติตามไปด้วยตลอด ซึ่งแต่เดิมต้องค่อยสร้างสติไปกำกับทุกอิริยาบท แต่ เมื่อได้ มหาสติ ทุกอิริยาบทมีสติกำกับตลอดแบบตลอดเวลา ไม่ต้องนึก สติเขาก็มากำกับให้เอง (๑๓) สติ มี ๔ ระดับ ขอให้ฝึกไปทีละระดับ โดย ทั้ง ๔ ระดับ เรียงจากเบื้องต้น คือ กายในกาย (ให้กายรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับกาย เช่น กายรู้ลมหายใจ กายรู้เหนื่อย เมื่อย เจ็บ ฯลฯ) เวทนาในเวทนา (เวทนา คือ เวทนาทางกายและใจ เจ็บกาย เจ็บใจ ทุกข์กายทุกข์ใจ) จิตในจิต (จิต คือ ผู้รับรู้อารมณ์ ฝึกจนจิตว่างๆ แล้วเอาจิตว่างไปรู้ว่าจิตไม่ว่าง) และ สุดท้าย ธรรมในธรรม ซึ่ง ผมอยากให้ฝึก กายรู้ๆๆๆๆ ให้ได้ก่อน ให้รู้จนชำนาญ อย่าข้ามขั้นไปดูจิต เพราะ หลายคนมักเผลอไปเอาความคิดไปดูจิต ไม่ได้เอาจิตว่างๆไปรู้ว่าจิตว่างหรือไม่ว่าง โดนกิเลสที่ปนมากับความคิดแย่งรู้เสียหมด (๑๔) คำว่า "นั่งสมาธิ" ในความหมายของผม คือ นั่ง เพื่อสะสมกำลังสติ จนจิตว่าง จิตนิ่ง จิตโล่ง จิตรวมเป็นหนึ่ง จิตเป็นจิตเดิมแท้ จิตกลับสู่ปกติ จิตสว่าง จิตประภัสสร จิตเป็นศูนย์ ได้อย่างต่อเนื่อง เพราะได้กำลังสติสะสมมากถึงขั้น มหาสติ หรือ "สติออโต้" นั่นเอง (๑๕)ในการ " นั่งสมาธิ " ผม จะทำ ๓ อย่างพร้อมๆกัน ( เกือบจะพร้อมกัน สลับไปมาจนดูเหมือนพร้อมกัน)คือ (ก) ทำใจให้สบายๆ ว่างๆโล่งๆ โดย สังเกตจากที่กลสงอก จะเบาๆ สบายๆ โล่งๆ ไม่ตึง ไม่เกร็ง (ข) ฝึกสติ โดยให้ รู้ว่ามีลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือ ดูพุงยุบหนอ พองหนอก็ได้ ให้กายได้รับรู้ ความร้อนที่ก้น ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รู้ ๆๆ เหน็บชา ลิ้นแตะเพดานปาก นิ้วยังสัมผัสนิ้วอยู่ ความร้อนของฝ่ามือซ้าย ที่ร้อนมากระทบหลังมือขวา ลมที่มาโดนกาย ฯลฯ (ค) มือใหม่ ผมแนะนำให้ บริกรรม พุทโธ ลมหายใจเข้ากำหนดพุทธ ลมหายใจออก กำหนด โธ ทั้งนี้ เพื่อ ให้ความคิดของเรา ยึดกับ "พุทโธ" บริกรรม เพื่อ เป็นความคิดปัจจุบัน เป็นความคิดหลัก จากนั้น เราจะพบว่า ความคิดจร จอห์นนี่จะแว่บเข้ามาเพียบเลย ความคิดจรจะมาชวนคิดออกนอก คิดออกนอกกาย จะลืมตัวรู้ของกาย เผลอไปเข้าบ้าน"คิด" และลืม บ้าน"กาย" อีกแล้ว (๑๖) เมื่อฝึกบ่อยๆ เรา รู้เท่าทัน (คำว่า รู้ทัน คือ มีสติ)ความคิด โดยเฉพาะ ตอนที่เราไปทำงาน ไปทำหน้าที่ทางโลก เช่น เมื่อกำลังทำงานอยู่ ความคิดหลัก คือ งานที่ทำ ใจเราโล่งๆ สบายๆ รู้ๆๆด้วยกายที่เกิดเวทนา ใจที่เกิดเวทนา และ ความคิดจร คือ คิดออกนอกเรื่อง ออกไปโกรธคนโน้นคนนี้ ออกไปกังวล ออกไปอยากได้ ไม่อยากได้ ฯลฯ ความคิดจร เมื่อกระแทกใจ จนใจไม่ว่าง จะมี ความคิดที่เจือกิเลส ท่านอาจารย์พุทธทาส เรียกว่า "เฉโก" (๑๗) เฉโก คือ ความคิดที่ผลิตออกมาตอนจิตไม่ว่าง ไม่นิ่ง เป็นความคิดที่มีลักษณะ อคติ ลำเอียง เครียดแค้น โกรธ โลภ หลง เบื่อ เซ็ง ฯลฯ
(๑๘) ในภาพ มาจาก หนังเรื่อง The Matrix ภาคแรก กิเลสมากับความคิด ความคิด คือ กระสุนที่กิเลส ( Mr Smith) ยิงใส่ พระเอก (ใจของเรา) เราจะเห็นได้ว่า กระสุน หรือ ความคิดจรนี้ กำลังถูกพระเอก ซึ่งตอนนี้ มีกำลังสติมากพอแล้ว ใช้ มือ (สติ) คว้า "จับ"ความคิดจรได้ทัน เช่น เมื่อเราได้ยินเสียงคนด่าเรา เราก็ จับความคิดจร ( ความคิดที่ตีความว่า นี่คือเรา เราโดนด่า เราต้องโกรธ มาด่าเราทำไม ใครนะบังอาจมาด่าเรา เราโกรธนะ เราไม่ชอบ เราไม่อยากฟัง ฯลฯ) ได้ทัน ความคิดจรไม่วิ่งไปชนจิต จิตก็เลยว่างๆ โล่งๆ สบายๆ ในฉากนี้ พระเอกบรรลุโสดาบัน จัดการ กับ ความคิดจรได้ทัน ซึ่ง ความคิดจรนี้ ฝรั่งเรียกว่า เสียงภายใน (Inner voice) แต่ ถ้าพลาด จิตโดนความคิดจรยิงโดน จิตเกิดอาการ เราจะ จี๊ด ปรี๊ด ร่างกายจะเปลี่ยนแปลง เช่น หายใจถี่ขึ้น เกร็งร่างกาย กำมือ แน่นหน้าอก ฯลฯ (๑๙) ที่เราฝึก สติที่ฐานกายมากๆ จนชำนาญ มีข้อดี เพราะ จิตเป็นนามธรรม เราจะรู้ว่าจิตเกิดอาการก็ต้องอาศัยกายเป็นตัวฟ้อง เป็นตัวบอกเราทางอ้อม เป็นตัวชี้บ่ง เป็นตัวเตือนเรา เช่น เมื่อจิตโกรธ กายจะเกร็ง มือเกร็ง หัวใจเต้น หูแดง ฯลฯ ดังนั้น ผู้มีกำลังสติมากๆ เขาจะรู้ลมหายใจว่าปกติเป็นยังไง ช้าหรือเร็ว ครั้นเมื่อจิตเกิดอาการ เขาก็รู้ว่าจิตเกิดอาการ เพราะ ลมหายใจเปลี่ยนจังหวะไป ถี่ขึ้นแรงขึ้น กล้ามเนื่้อกลางอกแน่น เกร็งกล้ามเนื่อส่วนอื่นๆด้วย (๒๐) คนที่ฝึกสติที่ฐานกายมามากแล้ว ก่อนจะร้องไห้ จะรู้ว่า กายเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ กลางอก ไล่ขึ้นมาลำคอ เมื่อเศร้ามากขึ้น จะรู้สึกตึง ขมไล่ไต่ขึ้นสองข้างแก้ม หรือ ก่อนที่จะง่วง ผู้มีสติดี รู้เท่าทันกาย เขาจะรู้ตั้งแต่ เมื่อยที่ หน้าท้อง กลางหลัง เมื่อง่วงมากขึ้น จะเมื่อยลามไต่ขึ้นมาต้นคอ ท้ายทอย ขมับ ฯลฯ เมื่อรู้ว่าจิตเศร้า จิตเบื่อง่วงนอน ก็ควรจะต้องดับ ระงับแต่เนิ่น แค่รู้ว่าจิตเกิดอากา กายเปลี่ยนแปลงก็พอแล้ว อย่าไปตามดูความโกรธ ความเศร้าเลย มันจะเคยตัว วันหน้าวันหลัง กิเลสมันรู้ทันเรา มันจะตลบหลังเรา เราจะโกรธง่าย เศร้าง่าย ดังนั้น เมื่อจิตเกิดอาการกุศลหรืออกุศลก็ให้ระงับ ไม่เอาทั้งกุศลและอกุศล จิตก็จะเป็นกลาง (๒๑) ถ้าเข้าใจเรื่อง ทำ ๓ อย่างพร้อมกัน คือ (ก) รู้กาย (ข) ใจโล่ง และ (ค) คิดดี ทำดี ไม่เฉโกแล้ว เราจะฝึกสติได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกอิริยาบท ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน กินเข้า เข้าห้องน้ำ ถูบ้าน อ่านหนังสือ ทำงาน เลี้ยงลูก เฝ้าไข้ ขับรถ ฯลฯ (๒๒) หลวงพ่อกัณหา ท่านสอนว่า "หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย" ก็คือ ความหมายเดียวกันนี้นี่เอง รู้ลมหายใจเข้าออก (สติที่ฐานกาย) รู้ว่าใจโล่งๆ ใจสบาย ใจติดแอร์ ชุ่มฉ่ำใจเสมอ โล่งใจเสมอ (๒๓) เมื่อจิตว่างๆ จิตโล่งๆ มีสติกำกับอย่างต่อเนื่อง นี่แหละ คือ จิตเป็นสมาธิ จิตปราศจากกิเลสได้อย่างต่อเนื่อง (๒๔) คนมีสติ ฝึกจิตให้เป็นสมาธิ จึงสามารถทำงานได้ ทำงานแบบจิตว่างและมีสติกำกับอย่างต่อเนื่อง อย่างออโต้ เป็นดังสำนวนของพระอาจารย์พุทธทาสที่ว่า "บวชอยู่กับงาน" นั่นเอง หรือ "ยกวัดมาไว้ที่ใจ" ก็ใช่ เช่นกัน (๒๕) ดังนั้น คนที่ฝึกสติ ไม่ไใช่คนขี้เกียจ แต่ มักจะขยัน เพราะ สติจะดีดความขี้เกียจออกไป หลายคน มักตำหนิ ผู้ปฏิบัติว่า ฝึกแนวพุทธ เฉื่อยชา ละทิ้งสังคม ฯลฯ จึงเป็นคำวิจารณ์ของผู้ที่ยังไม่เข้าใจ เอาแต่คิดๆๆๆ เป็นผู้ที่มีกำลังสติน้อย ไม่เข้าใจเรื่อง จิตว่างๆอย่างเป็นสมาธิ ถ้าเราสังเกตดู จะพบว่า ครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ไม่มีท่านใดขี้เกียจ ไม่มีท่านใดละทิ้งความรับผิดชอบต่อสังคม แต่ละท่านทำงานหนัก ทำเพื่อคนส่วนร่วมทั้งนั้น (๒๖) ด้วยการฝึก กายให้รู้ๆๆๆ มีสติที่ฐานกาย จนเป็น ออโต้แบบนี้ ผู้หญิงก็ฝึกได้ ผู้ชายก็ฝึกได้ เพศที่สามก็ฝึกได้ ลักเพศก็ฝึกได้ อย่าไปดูถูกตนเองเลยนะว่าฝึกไม่ได้ ขอให้ฝึกๆๆๆเถอะ อุปมา วันไหนเดิน ๑๐๐๐ ก้าว สร้างตัวรู้ๆๆ ที่ฝ่าเท้ากระทบพื้น ได้ ๑๐ ก้าว ก็ถือว่า สะสมสติได้ ๑๐ ก้าวแล้ว ฝึกๆ สะสมสติไปเรื่อยๆ เบื่อก็ฝึก ไม่เบื่อก็ฝึก ขี้เกียจก็ฝึก ไม่ขี้เกียจก็ฝึก เมื่อไรสติเต็ม ก็จะได้ มหาสติเอง ได้ ออโต้สติเอง ไม่จำกัดเพศ ไม่จำกัดวัย ไม่จำกัดฐานะ ไม่จำกัดความรู้ ไม่จำกัดเชื้อชาติ ไม่จำกัดศาสนา (๒๗) สำหรับมือใหม่ ผมแนะนำว่า ควรนั่งสมาธิให้ได้ทุกวัน และ ถ้าให้ดี เดินทุกก้าวให้มีสติ ทุกครั้งที่เปลี่ยนอิริยาบทก็ขอให้มีสติ ฝึก "ให้กายรู้ๆๆๆ ใจสบายๆ และ ติดดี ไม่เฉโก " ให้ได้ทั้งวัน (๒๘) อย่างไรก็ตาม ควรเข้ากราบหลวงปู่ หลวงพ่อ ครูบาอาจารย์ ปรึกษาข้อปฏิบัติกับท่าน จงเข้าพบบัณฑิต อย่าเข้าใกล้คนพาล ฟังธรรมตามกาล ดูแลบิดามารดา รับผิดชอบหน้าที่ ทำอาชีพสุจริต หมั่นทำทาน (ทานก็การสละ การบริจาค เพื่อให้ ละกิเลสออกจากใจ อย่าทำทานแบบสร้างกิเลส อย่าทำแบบหวังผล) รักษาศีล (อย่างน้อย ศีล๕) และ หมั่นภาวนา ( ภาวนา แปลว่า พัฒนา) ในที่นี้ คือ สะสมสติ รู้ทันความคิดจร ทำใจสบายๆ ไม่เฉโก หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย มีสติต่อเนื่องในทุกอิริยาบท

จุดตะเกียงดีกว่าด่าความมืด

จุดตะเกียง ดีกว่า ด่าความมืด สำนวนนี้ ผมคิดว่า น่าจะเป็นสำนวนของจีน มีความหมายลึกซึ้งและกว้างใหญ่ไพศาลมาก (๑) ในแง่ปฏิบัติ คือ ลงมือฝึก ลงมือปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์ดีกว่าเอาเวลาไปตำหนิคนโน้น ด่าคนนี้ (๒) คน "ติดดี" คือ คนที่หลงว่าตนเองดี แล้ว ไป "ตัดสิน" "พิพากษา" คนอื่นๆว่าเลว ชั่ว ต่ำกว่าตน ซึ่งคนติดดรนี้แก้ยากจริงๆ คนติดดี จึงมัก ทำตัวแบบ "ยกตนข่มท่าน" (๓) เมื่อไฟดับ มัวแต่บ่นด่า ไม่ลงมือทำอะไร ทำให้คนอื่นจิตตกไปด้วย สู้คิดแล้วทำทันทีดีกว่า จุดไฟ จุดตะเกียงดีกว่า ความสว่างก็จะมาแทนความมืด (๔) เมื่อเจอทุกข์ แทนที่จะ จมทุกข์ จมความคิด ก็ให้มาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า แก้ปัญหา อุปสรรคตรงหน้าก่อน คือ จุดไฟ จุดตะเกียง (๕) คนๆหนึ่ง เขามีทั้งดีและเลว ปนกัน มองในแง่ดีของเขาบ้างเถิด คนบางคนอาจจะใกล้หมดกำลังใจแล้ว คำพูดดี ก็เปรียบเสมือน "จุดไฟ จุดตะเกียง" ในหัวใจเขา การไปด่า อาจจะทำให้ ความหวังสุดท้ายของเขาดับไปได้ (๖) นึกถึง คำสอน ของท่านพระอาจารย์พุทธทาส ที่ว่า " ใครดีใครชั่วช่างเขา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ " (๗) นึกถึง คำสอนในหนังสือฝรั่งที่ "ใครขโมยเนยของฉันไป" หนูฝูงหนึ่ง อาศัยอยู่ในรัง พวกมันเคยได้กินเนยมาตลอด อยู่มาวันหนึ่ง คนเลี้ยงที่ให้เนยหยุดการให้เนยแก่หนู หนูบางตัวก็ออกจากรังไปหากินตามปกติ แต่มีอยู่ตัวหนึ่ง แทนที่มันจะออกไปหากิน กลับตำหนิ ด่าหนูตัวอื่นๆว่า "ใครขโมยเนยของฉันไป" (๘) นึกถึงพวก ในเว็ป ในโลก social media ที่เอาแต่อ่าน เอาแต่วิจารณ์ แต่ ไม่เคยออกไปทำอะไร ไม่เคยทำจริงๆ นึกเอง คิดเอง เออเอง ฝันเอาเอง แต่ ตำหนิคนอื่นๆเขาได้ พวกนี้ คือ พวก ด่าความมืด (๙) สังคมบ้านเรา ขาดการชม ขาดการให้กำลังใจที่ดี ชอบแซว ชอบดับความหวังซึ่งกันและกัน มองแต่ด้านเสียของคนอื่น ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่ได้ทำอะไรดีๆ ขึ้นมา
(๑๐) ถ้า Batman หรือ Heroes ของฝรั่งในหนัง มีคนเลวที่ไหน จะปรากฏตัว ทำไมเราไม่ลองกลับกัน มีคนดีที่ไหน เราเข้าไป ส่งเสริม แชร์ ทำข่าว ช่วยเหลือ ทั้งแบบง่าย น้อยๆ ไปจนมาก ตามกำลัง